อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการยกเลิกนโยบายที่ให้โรงเรียนเป็น “เขตปลอดปืน” หลังเกิดเหตุคนร้ายบุกเข้าไปกราดยิงโรงเรียนประถมในรัฐเทกซัส จนมีผู้เสียชีวิต 21 คน โดยให้เหตุผลว่าการทำเช่นนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่รัฐจัดการกับพวก “วิกลจริต” ได้ง่ายขึ้น
อดีตผู้นำสหรัฐฯ ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมของสมาคมไรเฟิลแห่งชาติ (National Rifle Association) ซึ่งเป็นองค์กรล็อบบี้ยิสต์ด้านอาวุธปืนในสหรัฐฯ โดยระบุว่า “เราจำเป็นต้องหาช่องทางที่ง่ายแก่การส่งตัวพวกคนวิกลจริตที่นิยมความรุนแรงไปขังไว้ในสถาบันจิตเวช”
เหตุการณ์ที่คนร้ายวัย 18 ปี ถืออาวุธปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ AR-15 เข้าไปยิงสังหารเด็กนักเรียน 19 คน และครูอีก 2 คน ที่โรงเรียนประถมร็อบบ์ในเมืองยูวัลดี (Uvalde) เมื่อวันอังคาร (24) ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์พุ่งตรงมายัง NRA ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรที่บริจาคเงินสนับสนุนสมาชิกสภาคองเกรส โดยเฉพาะนักการเมืองสายรีพับลิกัน
สำหรับคำถามที่ว่าจะเพิ่มความปลอดภัยให้แก่โรงเรียนได้อย่างไรนั้น ทรัมป์ เสนอว่าทุกๆ โรงเรียนควรมีทางเข้าออกแค่ทางเดียว มีรั้วรอบขอบชิดที่แข็งแรง และติดตั้งเครื่องตรวจโลหะ นอกจากนี้ ยังต้องมีตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ติดอาวุธอย่างน้อย 1 นาย คอยปฏิบัติหน้าที่คุ้มกันตลอดเวลา
“เรื่องเงินไม่ใช่ประเด็น ขึ้นอยู่กับความตั้งใจจริงมากกว่า ถ้าหากสหรัฐฯ มีปัญญาส่งเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ไปช่วยยูเครนได้ เราก็ต้องทำสิ่งเหล่านี้ได้” ทรัมป์ กล่าว โดยพาดพิงไปถึงความช่วยเหลือทั้งในรูปของเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์ที่รัฐบาล โจ ไบเดน มอบให้ยูเครนตั้งแต่รัสเซียเริ่มเปิดฉากรุกรานในเดือน ก.พ.
ทรัมป์ ยังเรียกร้องให้เลิกกำหนดให้โรงเรียนเป็นเขตปลอดอาวุธปืน โดยมองว่ามาตรการเช่นนี้ทำให้เหยื่อ “ไม่มีหนทางปกป้องตัวเอง” เมื่อถูกคนร้ายที่มีอาวุธบุกเข้าไปโจมตี
“สุภาษิตว่าไว้ ทางเดียวที่จะหยุดคนชั่วได้ ก็คือต้องให้คนดีมีปืน” ทรัมป์ กล่าว
“การดำรงอยู่ของความชั่วร้ายคือหนึ่งในเหตุผลที่ดีที่สุดที่เราจะต้องติดอาวุธให้แก่พลเมืองที่เคารพกฎหมาย”
ที่มา : รอยเตอร์