อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยเบอร์หนึ่งของโลก บ่งชี้ในวันจันทร์ (16 พ.ค.) ว่าเขาอาจขอลดราคาซื้อทวิตเตอร์ อิงค์ โดยระบุว่าสื่อสังคมออนไลน์แห่งนี้อาจมีบัญชีปลอมมากกว่าที่ทางบริษัทกล่าวอ้างก่อนหน้านี้ถึง 4 เท่า
"คุณไม่อาจจ่ายเงินในราคาเดิมสำหรับบางสิ่งที่เลวร้ายกว่าที่พวกเขาอ้าง" เขากล่าว ณ เวทีสัมมนาหนึ่งในไมอามี
ก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) มัสก์ เปิดเผยว่าจะขอ “เบรก” ข้อตกลงมูลค่า 44,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับซื้อทวิตเตอร์ อิงค์ เอาไว้ก่อน จนกว่าจะทราบจำนวนที่แน่นอนของบัญชีปลอม หรือบรรดา “แอ็กหลุม” และในวันจันทร์ (16 พ.ค.) มัสก์ สงสัยว่าบัญชีปลอมอาจมีสัดส่วนอย่างน้อย 20% ของผู้ใช้ สวนทางกับตัวเลขประมาณการอย่างเป็นทางการของทวิตเตอร์ที่คาดหมายว่าน่าจะมีแค่ราวๆ 5%
เมื่อถูกถามในเวทีสัมมนา ว่าข้อตกลงซื้อทวิตเตอร์ยังมีความเป็นไปได้หรือไม่ในราคาที่ต่างจากเดิม มัสก์ตอบว่า "มันไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ผมสอบถามไปเพิ่มเติม แสดงความกังวลมากขึ้น"
"พวกเขาอ้างว่าพวกเขามีระเบียบวิธีที่ซับซ้อนที่มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าใจได้ มันไม่ควรลึกลับแบบนั้น มันราวกับว่ามีความซับซ้อนมากกว่าจิตวิญญาณมนุษย์หรืออะไรทำนองนั้น"
หุ้นของทวิตเตอร์ขยับลงมากกว่า 8% อยู่ที่ 37.39 ดอลลาร์ ต่ำกว่าระดับหนึ่งวันก่อนหน้า มัสก์ เปิดเผยถึงความสนใจซื้อหุ้นของทวิตเตอร์ในช่วงต้นเดือนเมษายน จากข้อสงสัยว่ามหาเศรษฐีรายนี้จะเดินหน้าเข้าซื้อทวิตเตอร์ในราคาที่ตกลงกันไว้หรือไม่
ปารัก อัครวาล ซีอีโอของทวิตเตอร์ กล่าวก่อนหน้านี้ในวันจันทร์ (16 พ.ค.) ว่าจากการคาดการณ์ภายใน ประมาณการว่ามีบัญชีสแปมบนแฟลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์แห่งนี้ในช่วง 4 ไตรมาสหลังสุด "ไม่ถึง 5%" ตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารร์ต่อเนื่องหลายวันของ มัสก์ ที่มีต่อแนวทางของบริษัทในการรับมือกับบัญชีปลอม
เขากล่าวว่าตัวเลขประมาณการของทวิตเตอร์ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันนี้มาตั้งแต่ปี 2013 ไม่สามารถถอดแบบจำลองได้โดยภายนอก เนื่องจากมันจำเป็นต้องใช้ข้อมูลทั้งในส่วนที่เป็นสาธารณะและส่วนที่เป็นความลับในการตัดสินว่าบัญชีไหนเป็นสแปม
มัสก์ ตอบโต้คำแก้ต่างของ อัครวาล ในด้านการระเบียบวิธีของทางบริษัท ด้วยอีโมจิรูปอึ พร้อมระบุว่า "แล้วพวกที่ลงโฆษณาจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาได้อะไรตอบแทนจากเงินที่พวกเขาลงทุนไป? นี่คือพื้นฐานความเข้มแข็งทางการเงินของทวิตเตอร์" มัสก์เขียน
ทั้งนี้ มัสก์ สัญญว่าจะปรับปรุงทวิตเตอร์ให้มีความทันสมัย แสดงจุดยืนต่อต้านการตัดสินใจต่างๆ ของบริษัท เช่น การแบนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อความก้าวร้าวเกินพอดี ขณะเดียวกันก็ให้สัญญาว่าจะจัดการกับ "สแปมบอท" บนแฟลตฟอร์มแห่งนี้
พวกนักวิจัยอิสระประมาณการว่ามีราวๆ 9% ถึง 15% ของบัญชีทวิตเตอร์ ที่เป็นสแปมบอท
(ที่มา : รอยเตอร์)