ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ อนุมัติจัดส่งอาวุธให้แก่ยูเครนเพิ่มเติมอีก 150 ล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ (6 พ.ค.) โดยมีทั้งกระสุนปืนใหญ่ เรดาร์ และยุทโธปกรณ์อื่นๆ ที่จะช่วยต้านทานการบุกของรัสเซีย
“วันนี้สหรัฐฯ ได้ให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องแก่ชาวยูเครนผู้กล้าหาญ ซึ่งปกป้องบ้านเมืองของตนจากการรุกรานของรัสเซียที่ยังคงดำเนินอยู่” ไบเดน ระบุในคำแถลง
นับตั้งแต่สงครามปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ. สหรัฐฯ ได้ส่งมอบอาวุธให้แก่เคียฟแล้วเป็นวงเงินไม่ต่ำกว่า 3,400 ล้านดอลลาร์ โดยมีทั้งปืนใหญ่ฮาวอิตเซอร์ (howitzers) ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานแบบประทับบ่ายิง “สติงเกอร์” (Stinger) ขีปนาวุธต่อต้านรถถังเจฟลิน (Javelin) กระสุนปืนใหญ่ และล่าสุดที่เพิ่งจะมีการเปิดเผยก็คือ อากาศยานไร้คนขับที่เรียกกันว่า “โดรนนกปีศาจ” (Phoenix Ghost drones)
สำหรับแพกเกจอาวุธล่าสุดประกอบด้วยกระสุนปืนใหญ่ขนาด 155 มม. จำนวน 25,000 ลูก เรดาร์ต่อต้านปืนใหญ่ อุปกรณ์รบกวนสัญญาณ และอะไหล่ต่างๆ รวมมูลค่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
การจัดส่งอาวุธครั้งนี้เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย Presidential Drawdown Authority ซึ่งอนุญาตให้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สามารถสั่งเคลื่อนย้ายอาวุธส่วนเกินในคลังแสงของสหรัฐฯ ได้ในกรณีฉุกเฉิน โดยไม่จำเป็นต้องขอการอนุมัติจากสภาคองเกรส
เมื่อเดือน เม.ย. ไบเดน ได้ขออนุมัติงบประมาณ 33,000 ล้านดอลลาร์ จากสภาคองเกรสเพื่อใช้ในการสนับสนุนยูเครนตลอดช่วง 5 เดือนข้างหน้า โดยกว่า 20,000 ล้านดอลลาร์จะเป็นความช่วยเหลือในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์
สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาสหรัฐฯ ต่างยืนยันว่าจะช่วยผลักดันเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด แต่ก็ยังไม่ประกาศชัดเจนว่าจะมีการลงมติเมื่อไหร่ ขณะที่ผู้นำสหรัฐฯ เรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งรัดกระบวนการดังกล่าว เนื่องจากตนนั้นได้ใช้อำนาจตามกฎหมาย Presidential Drawdown Authority ไปเกือบจะแตะเพดานสูงสุดที่ทำได้แล้ว
สหรัฐฯ ยังได้ช่วยฝึกฝนยุทธวิธีให้แก่กองกำลังยูเครนบางส่วนเพื่อให้รู้จักวิธีใช้ระบบอาวุธต่างๆ เช่น ปืนใหญ่ฮาวอิตเซอร์ โดยการฝึกเหล่านี้กระทำภายนอกดินแดนยูเครน
ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียอ้างว่า จำเป็นต้องส่งทหารบุกยูเครนเพื่อปกป้องประชากรที่พูดภาษารัสเซียจากการถูกกวาดล้างโดยพวก “นาซี” และเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามที่เกิดจากการขยายอาณาเขตขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ขณะที่ยูเครนและชาติตะวันตกชี้ว่าข้ออ้างของมอสโกนั้น “ไม่มีมูล” และปูติน เป็นฝ่ายที่เริ่มก่อสงครามโดยปราศจากการยั่วยุใดๆ
ที่มา : รอยเตอร์