นพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐอเมริกาพ้นจากภาวะการระบาดใหญ่ของโควิด-19 แล้ว เมื่อพิจารณาจากจำนวนผู้ป่วยในโรงพยาบาลและอัตราการเสียชีวิตซึ่งลดลงมากจนกระทั่งภาครัฐสามารถยกเลิกมาตรการบังคับสวมหน้ากากได้
นพ.เฟาซี ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ปรึกษาด้านการแพทย์ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ให้สัมภาษณ์ในรายการ NewsHour ทางสถานีโทรทัศน์พีบีเอสเมื่อวันอังคาร (26 เม.ย.) โดยระบุว่า “แน่นอนว่าในขณะนี้ประเทศของเราพ้นจากภาวะโรคระบาดใหญ่แล้ว”
ต่อมา ในวันพุธ (27) นพ.เฟาซี ได้ชี้แจงเพิ่มเติมต่อหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ว่า ทั่วโลกยังคงอยู่ภายใต้การระบาดใหญ่ของโควิด-19 “อย่างไม่ต้องสงสัย” ทว่า สหรัฐฯ นั้นเริ่มเข้าสู่ “ช่วงเปลี่ยนผ่าน” ซึ่งเชื้อไวรัสไม่ทำให้มีผู้เสียชีวิตหรือผู้ป่วยในโรงพยาบาลมากเหมือนตอนที่โควิดสายพันธุ์โอมิครอน “ระบาดหนักเต็มขั้น” (full-blown pandemic phase) ในช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมา
“เราเผชิญการระบาดใหญ่เต็มขั้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ซึ่งตอนนั้นมีผู้ติดเชื้อใหม่มากถึง 900,000 คนต่อวัน มีคนนอนโรงพยาบาลหลายหมื่นคน และมีผู้เสียชีวิตถึง 3,000 คนต่อวัน” นพ.เฟาซี กล่าว “แต่ขณะนี้ยอดผู้เสียชีวิตรายวันลดลงมาจาก 3,000 คน เหลือเพียงแค่ราวๆ 300 คน”
นพ.เฟาซี เคยทำนายไว้เมื่อเดือน พ.ค.ปีที่แล้วว่า สหรัฐฯ จะสามารถ “ควบคุม” โควิด-19 ได้ภายในฤดูใบไม้ร่วง ทว่าการระบาดของสายพันธุ์ “เดลตา” ทำให้ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายดังกล่าว อีกทั้งยังมีคลื่นการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนที่ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
แม้การระบาดของโอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 และ BA.2.12.1 ซึ่งแพร่กระจายได้เร็วกว่าเชื้อตัวดั้งเดิมจะทำให้ยอดผู้ติดเชื้อรายวันในสหรัฐฯ กลับมาเพิ่มขึ้น แต่จำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลยังไม่มาก
ตัวเลขผู้ป่วยหนักและผู้เสียชีวิตที่ลดลงมากนี้ทำให้ นพ.เฟาซี เชื่อว่าโควิด-19 ในสหรัฐฯ “กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ความเป็นโรคประจำถิ่น” ที่สามารถควบคุมได้
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (CDC) แถลงเมื่อวันอังคาร (26) ว่า จนถึงช่วงปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา มีคนอเมริกันเกือบ 60% ที่เคยติดโควิด-19 รวมถึงเด็ก 3 ใน 4 คน แต่เจ้าหน้าที่เตือนว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าคนอเมริกันจะมี “ภูมิคุ้มกันหมู่”
แม้จะเชื่อกันว่า ผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 มาแล้วจะมีภูมิคุ้มกันทำให้ไม่ป่วยรุนแรง แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขย้ำว่า การฉีดวัคซีนยังคงเป็นวิธีป้องกันการป่วยหนักและการเสียชีวิตที่ดีที่สุด
ที่มา : วอชิงตันโพสต์