ราคาน้ำมันพุ่งแรงในวันพุธ (13 เม.ย.) คลังสำรองที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ ไม่สามารถคลายความกังวลอุปทานตึงตัว ส่วนวอลล์สตรีทปิดบวก จับตารายงานผลประกอบการของบริษัทยักษ์ใหญ่ ในขณะที่ทองคำขยับขึ้น 5 วันติดต่อกัน
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคม เพิ่มขึ้น 3.65 ดอลลาร์ ปิดที่ 104.25 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 4.14 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
เมื่อวันอังคาร (12 เม.ย.) ทบวงพลังงานสากล (ไออีเอ) ปรับลดประมาณการอุปสงค์พลังงานโลก และบอกว่ากำลังผลิตโลกที่เพิ่มขึ้นอาจช่วยชดเชยส่วนที่ขาดหายไปของกำลังผลิตรัสเซีย โดยไอเออีคาดการณ์ว่ากำลังผลิตของรัสเซียจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนเมษายน ก่อนกลับมาฟื้นตัวเกือบๆ 3 ล้านบาร์เรลต่อวันตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป
อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันได้แรงหนุนจากความเคลื่อนไหวของโอเปกที่เตือนว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะชดเชยน้ำมันส่วนที่ขาดหายไปทั้งหมดของรัสเซีย และยืนกรานว่าจะไม่เพิ่มกำลังผลิต โหมกระพือความกังวลอุปทานตึงตัว
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันพุธ (13 เม.ย.) ฟื้นตัวพอสมควร นักลงทุนจับตาการรายงานผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ๆ แม้ขณะเดียวกันยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อของอเมริกาก็ตาม
ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 344.23 จุด (1.01 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 34,564.59 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 49.14 จุด (1.12 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,446.59 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 272.01 จุด (2.03 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 13,643.59 จุด
หุ้นเจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง 2.54% หลังประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสแรก โดยมีกำไรลดลงถึง 42% เพราะวิกฤตยูเครนทำให้มีการทำข้อตกลงธุรกิจน้อยลง ขณะที่รายได้จากธุรกิจเทรดดิ้งก็ลดลงด้วย
รายได้จากธุรกิจวาณิชธนกิจของธนาคารรายใหญ่ๆ ชะลอตัวลงหลังรัสเซียบุกยูเครนเมื่อปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน เงินเฟ้อยังพุ่งสูงทำสถิติสูงสุดในรอบหลายทศวรรษด้วย ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย
นอกเหนือจากเจพีมอร์แกน เชส แล้วยังมีธนาคารรายใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ เตรียมรายงานผลประกอบการอีกหลายราย โดยซิตี้กรุ๊ป เวลส์ ฟาร์โก และโกลด์แมน แซคส์ จะรายงานผลประกอบการในวันพรุ่งนี้ตามเวลาสหรัฐฯ ส่วนแบงก์ ออฟ อเมริกา จะรายงานผลประกอบการในวันจันทร์หน้า
ในวันอังคาร (12 เม.ย.) กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 11.2% ในเดือน มี.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งพุ่งทำสถิติสูงสุดเท่าที่เริ่มจัดทำดัชนีนี้มา ทั้งยังมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 10.6%
ปัจจัยนี้ผลักให้นักลงทุนหันถือครองสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและดันราคาทองคำปรับขึ้นต่อเนื่อง 5 วันติดต่อกันในวันพฤหัสบดี (13 เม.ย.) โดยราคาทองคำโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 8.60 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,984.70 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเจนซี)