(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
From Russia, will US expand economic war to China?
By CHEN FENG
17/03/2022
เฉิน เฟิง คอลัมนิสต์ของ “ผู้สังเกตการณ์” ชี้ถึงสิ่งที่เขามองว่าเป็นพื้นที่แห่งความอ่อนแอระดับรากฐานในจุดยืนของสหรัฐฯ ได้แก่ การที่เศรษฐกิจสหรัฐฯอยู่ในกระบวนการถอยห่างออกจากอุตสาหกรรม, การที่อเมริกาต้องพึ่งพาอาศัยการกู้หนี้ยืมสิน, และการที่ระบบชำระหนี้ทางการค้าและทุนสำรองเงินตราต่างประเทศซึ่งพึ่งพาอาศัยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชนิดเร่งตัว ภายหลังจากการใช้มาตรการแซงก์ชั่นรัสเซีย ทั้งนี้การที่จีนใช้การข่มใจในกรณีทางยุทธศาสตร์ต่างๆ รวมทั้งเรื่องไต้หวัน ด้วยนั้น ส่วนสำคัญก็เนื่องจากผลประโยชน์ที่ต่างฝ่ายต่างได้รับของการค้าสหรัฐฯ-จีน แต่ถ้าสหรัฐฯประกาศใช้มาตรการแซงก์ชั่นใหม่ๆ ต่อจีนแล้ว จีนก็ย่อมมีเหตุผลลดน้อยลงที่จะต้องยอมอดทนอดกลั้นดังกล่าว
สงครามในยูเครนเวลานี้มีอันตรายที่สามารถจุดชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ขึ้นมา การปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียไม่สามารถที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดผลพวงต่อเนื่องเป็นการสู้รบด้วยอาวุธกับองค์การนาโต้ เวลานี้ทั้งสหรัฐฯและนาโต้ด้านหนึ่งพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการสู้รบขัดแย้งทางการทหารกับรัสเซียขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ประกาศใช้มาตรการแซงก์ชั่นคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจแบบเต็มสูบครบเครื่อง การปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียนั้นมุ่งหมายที่จะทำให้ได้ที่ทางขยับเนื้อขยับตัวสำหรับความมั่นคงของตนเอง ขณะที่นโยบายทางเศรษฐกิจสหรัฐฯมุ่งหมายที่จะทำลายเศรษฐกิจรัสเซีย เพื่อเป็นหนทางหนึ่งในการจุดชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในรัสเซีย และกระทั่งทำให้รัสเซียแตกแยกออกเป็นเสี่ยงๆ
สถานการณ์เช่นนี้อาจพัฒนากลายเป็นสงครามโลกแบบอสมมาตร (asymmetric) ชนิดใหม่ขึ้นมาเป็นครั้งแรกก็ได้ โดยที่ในสงครามเช่นนี้ บทบาทของจีนเป็นสิ่งที่น่าจับตามองกันเป็นพิเศษ
จีนยังคงเป็นเพื่อนมิตรกับทั้งรัสเซียและยูเครน พยายามส่งเสริมสันติภาพอยู่เสมอและไม่เคยเติมเชื้อไฟให้ยิ่งลุกลามรุนแรง แต่จีนก็เป็น “ประเทศวางตัวเป็นกลางที่แปลกประหลาด” อีกด้วย ตรงที่เข้าอกเข้าใจและเห็นอกเห็นใจความวิตกกังวลด้านความมั่นคงของรัสเซีย
จีนไม่ได้สนับสนุนสงครามของรัสเซีย แต่ก็ยังคงธำรงรักษาความผูกพันทางการค้าอย่างเป็นปกติกับรัสเซีย และการค้าจีน-รัสเซียน่าที่จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างพุ่งพรวด ไม่เพียงด้วยการดูดซับเอาน้ำมันและแก๊สตลอดจนข้าวสาลีปริมาณมหึมาที่นำเข้าจากรัสเซียเท่านั้น แต่ยังเนื่องจากการส่งออกสินค้าผู้บริโภคและเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมไปยังรัสเซียก็จะขยายตัวขึ้นอย่างสำคัญ เพื่อชดเชยความสัมพันธ์ทางการค้าที่รัสเซียมีอยู่กับโลกตะวันตกซึ่งจะเสื่อมทรุดลงมา
จีนนั้นไม่มีความจำเป็นที่จะหาทางวนอ้อมเพื่อไม่ให้เจอการถูกแซงก์ชั่นหรอก เมื่อถูกสหรัฐฯข่มขู่คุกคามอย่างเอะอะเกรียวกราวว่าจะนำมาตรการเหล่านี้มาใช้เล่นงานแดนมังกร การแซงก์ชั่นพวกนี้เป็นเพียงการลงโทษคว่ำบาตรซึ่งยึดโยงอยู่กับกฎหมายภายในประเทศของสหรัฐฯเท่านั้น ไม่ใช่เป็นมาตรการแซงก์ชั่นซึ่งผ่านออกมาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ การขนส่งสินค้าระหว่างรัสเซียกับจีนอันที่จริงก็ไม่ต้องไปวกอ้อมผ่านประเทศอื่นๆ หรือจะต้องคิดค้นหาวิธีให้ผ่านเฉพาะพวกประเทศที่เป็นเพื่อนมิตรกันเท่านั้น
จีนเป็นรัฐอธิปไตย และสหรัฐฯไม่มีสิทธิใดๆ หรืออำนาจใดๆ ที่จะมาสั่งจีนให้ต้องปฏิบัติตามมาตรการแซงก์ชั่นซึ่งสหรัฐฯใช้มาเล่นงานรัสเซียโดยยึดโยงอยู่กับกฎหมายภายในประเทศของอเมริกาเอง รวมทั้งสหรัฐฯก็ไม่สามารถที่จะผลักดันมาตรการแซงก์ชั่นเล่นงานรัสเซียให้ผ่านคณะมนตรีความมั่นคงของยูเอ็นออกมาได้
นอกเหนือจากพลังงาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยุโรปขาดไม่ได้แล้ว การค้าที่รัสเซียทำกับยุโรปและสหรัฐฯถือว่าอยู่ในระดับเพียงแค่ผักชีโรยหน้าเท่านั้น ขณะที่การค้าซึ่งรัสเซียทำกับจีนนั่นแหละของจริง ตราบเท่าที่จีนยังคงธำรงรักษาความผูกพันทางเศรษฐกิจและทางการค้าอย่างเป็นปกติกับรัสเซียเอาไว้ และกระทั่งเพิ่มขยายสายสัมพันธ์นี้ด้วยแล้ว เศรษฐกิจของรัสเซียก็จะไม่มีทางล้มครืน
สหรัฐฯต้องการที่จะอุด “รูรั่วใหญ่” ซึ่งมาจากสายสัมพันธ์ที่รัสเซียมีอยู่กับจีนนี้ โดยมีความเป็นไปได้ที่จะกระทำด้วยการขยายสงครามเศรษฐกิจซึ่งกระทำกับรัสเซียให้ครอบคลุมถึงจีนด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นการบังคับให้จีนต้องเลือกเอาว่า จะต้องยินยอมกระทำตามกฎเกณฑ์การแซงก์ชั่นของสหรัฐฯ ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจของจีนก็จะถูกทำลายไปพร้อมกับของรัสเซีย ไอเดียนี้ช่างบ้าระห่ำ มันไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แต่มันไม่น่าที่จะเกิดขึ้นได้
การแซงก์ชั่นคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯนั้น รวมศูนย์อยู่ในพื้นที่ต่างๆ หลายหลาก ได้แก่
1.ตัดรัสเซียออกจาก SWIFT ระบบสื่อสารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างธนาคาร , ยึดทุนสำรองที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์ของรัสเซียเอาไว้, และแบนรัสเซียจากตลาดหนี้ของโลกตะวันตก
2.ยึดทรัพย์สินต่างๆ ที่อยู่ในต่างประเทศของรัสเซีย
3.ดำเนินการเพิกถอนการลงทุนของต่างประเทศในรัสเซียครั้งใหญ่
4.จำกัดการเดินทาง
5.จำกัดการนำเข้าและการส่งออกของรัสเซีย
ควรต้องกล่าวว่า มาตรการเช่นนี้ถ้าหากถูกนำมาใช้เล่นงานจีนโดยตรงแล้ว ก็จะเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อเศรษฐกิจจีน แต่ผู้คนดูเหมือนกับหลงลืมไปเสียแล้วว่าการเปิดการระดมยิงชุดแรกของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนนั้น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2018 แล้ว ตอนที่สหรัฐฯประกาศจัดเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มขึ้น 25% กับสินค้าออกซึ่งจีนส่งไปยังสหรัฐฯก้อนแรกซึ่งมีมูลค่ารวม 34,000 ล้านดอลลาร์
ตามเนื้อหาของมาตรา 301 แห่งรัฐบัญญัติการค้าของสหรัฐฯ การแซงก์ชั่นนี้ต้องมีการทบทวนกันใหม่ภายในระยะเวลา 60 วันก่อนที่ช่วงเวลา 4 ปีของการบังคับใช้จะสิ้นสุดลง ไม่เช่นนั้นแล้วมันก็จะถูกระงับไปโดยอัตโนมัติ ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใดที่จะมาคาดเดากันว่าผลการทบทวนของสหรัฐฯจะออกมาอย่างไร แต่มันเห็นได้อย่างชัดเจนจนไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ ว่า สหรัฐฯหงุดหงิดผิดหวังขนาดไหนกับสงครามการค้าที่ได้สู้รบกันมาจะ 4 ปีแล้วนี้
สงครามการค้านี้ถูกทึกทักเอาว่าจะเป็นตัวปรับความสมดุลของการนำเข้าและการส่งออกระหว่างจีนกับสหรัฐฯกันใหม่ โดยที่สหรัฐฯจะสามารถเพิ่มการส่งออกไปยังจีน และลดการนำเข้าจากจีน แทนที่จะเป็นการลดการค้าในทั้งสองทิศทาง ทว่าแม้กระทั่งเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ขยายการขึ้นภาษีศุลกากรที่เก็บเอากับสินค้านำเข้าจากจีนให้ครอบคลุมมากขึ้นอีกจนเป็น 3 รอบแล้ว มันก็ไม่ได้ช่วยปรับสมดุลการนำเข้าและการส่งออกกันใหม่แต่อย่างใด ตรงกันข้ามการขาดดุลของสหรัฐฯยังกลับขยายใหญ่ขึ้นไปอีก ขณะที่ภาระของการเสียภาษีศุลกากรนั้นโดยสาระสำคัญแล้วตกอยู่กับพวกผู้บริโภคชาวอเมริกันที่จะต้องเป็นผู้แบกรับ
สภาพเช่นนี้นำมาสู่ข้อสรุปได้เพียงประการเดียวเท่านั้น นั่นคือ เศรษฐกิจสหรัฐฯต้องพึ่งพาอาศัยจีนอย่างมากมายมหาศาล ยิ่งกว่าที่พวกนักการเมืองสหรัฐฯสามารถขบคิดจินตนาการกันได้
เพื่อที่จะบีบคั้นบังคับให้จีนต้องยอมอ่อนข้อ สหรัฐฯกระตุ้นส่งเสริมให้การลงทุนต่างชาติถอยหนีออกมาจากจีน รวมทั้งหาทางขับไสไล่ทุนจีนให้ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยิ่งกว่านั้นอเมริกายังหาทางสกัดขัดขวางความผูกพันตามปกติระหว่างกันทั้งในทางเศรษฐกิจ, การค้า, เทคโนโลยี, และการแลกเปลี่ยนนักเรียนนักศึกษาต่างประเทศ โดยใช้วิธีจำกัดเข้มงวดการออกวีซ่า และการสอบสวนแบบเหวี่ยงแห มาตรการเหล่านี้ทั้งหมดถูกนำมาใช้ในระดับต่างๆ กันในยุคของทรัมป์
การสร้างความลำบากให้แก่ประชาชน จะไม่ได้ผลหรอกในการหยุดยั้งความก้าวหน้าของจีน การห้ามจีนไม่ให้ใช้เงินดอลลาร์อเมริกัน, “การยึด” หนี้สินสหรัฐฯที่จีนถือครองอยู่, และการแบนจีนไม่ให้ใช้ระบบ SWIFT เหล่านี้ล้วนเคยถูกสหรัฐฯหยิบยกขึ้นมาพิจารณา ทว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับสูงลิ่วเกินกว่าที่สหรัฐฯจะกล้าเสี่ยง
แน่นอนทีเดียว ยังสามารถที่จะกล่าวได้ว่า ยุคของทรัมป์นั้นอยู่ในระยะของการเกิด “การเสียดสีไม่ลงรอยกัน” ระหว่างสหรัฐฯกับจีนเท่านั้น ยังไม่ใช่เป็นสงครามแบบเต็มขั้น ถ้าหากจีนกลายเป็นอันตรายต่อความอยู่รอดของสหรัฐฯแล้ว สหรัฐฯก็จะใช้มาตรการสุดโต่งทุกๆ อย่างที่เป็นไปได้เพื่อทำให้แน่ใจว่าตนเองจะต้องอยู่รอดต่อไป ไม่ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปขนาดไหนก็ตาม
ทว่าจีนไม่ได้กำลังเป็นอันตรายต่อความอยู่รอดของสหรัฐฯ อย่างน้อยที่สุดสถานการณ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯในเวลานี้ ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในทางสาระสำคัญจากยุคของทรัมป์ สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นอีกก็คือ จากสงครามการค้าที่ดำเนินมา 4 ปี มันเป็นที่กระจ่างแจ่มแจ้งแล้วว่า พวกมาตรการสุดโต่งของสหรัฐฯไม่เพียงแต่จะล้มเหลวเท่านั้น มันยังจะสร้างความเดือดร้อนสาหัสให้แก่สหรัฐฯเองอีกด้วย
เวลานี้เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังเผชิญภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง และการสะดุดติดขัดใดๆ ในการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนย่อมจะทำให้สถานการณ์ที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งเลวร้ายลงไปอีก การสั่งห้ามค้าขายกับจีนในสไตล์ที่ทำกับรัสเซีย แน่นอนทีเดียวว่าจะบีบบังคับให้ผู้ผลิตทางอุตสาหกรรมจำนวนมากของสหรัฐฯต้องปิดเครื่องหยุดการผลิต และร้านรวงต่างๆ ต้องปิดทำการ ซึ่งจะส่งผลกระทบกระเทือนโดยตรงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯและสังคมสหรัฐฯ ทั้งนี้การเกิดระบาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วของโรคโควิด-19 ในขณะนี้จนทำให้ต้องมีการชัตดาวน์บางส่วนในเมืองเซินเจิ้นและเมืองเซี่ยงไฮ้ สามารถถือเป็นหนังตัวอย่างของเรื่องนี้ได้
การยึดทรัพย์สินของจีนในต่างประเทศ แน่นอนทีเดียวว่าจะเป็นเหตุให้จีนยึดทรัพย์สินสหรัฐฯในจีนบ้าง ซึ่งจะทำให้เรื่องนี้กลายเป็นแผนการที่ประสบความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาภาวะอสมมาตรระหว่างการส่งออกของจีนไปยังยุโรปและสหรัฐฯ กับการลงทุนของต่างประเทศในจีน ส่วนเรื่องที่การลงทุนของต่างประเทศจะถอนตัวออกไปจากจีนล่ะ นี่จะยิ่งกลายเป็นเรื่องสูญเสียเงินทองมากยิ่งขึ้นไปใหญ่ เนื่องจากพวกโรงงานที่ตั้งอยู่ในจีนและตลาดจีนคือแหล่งที่มาสำคัญของผลกำไรสำหรับพวกบรรษัทนานาชาติขนาดใหญ่ๆ มาหลายสิบปีแล้ว สำหรับการตัดขาดไม่ให้เดินทางติดต่อกับจีน นี่จะเป็นสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดอย่างมากเมื่อดูกันเป็นรายบุคคล ทว่ามันจะไม่ได้มีผลอะไรในทางบดขยี้จีนให้แหลกลาญหรอก
การห้ามจีนเข้าถึงระบบ SWIFT และเข้าถึงเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะกลายเป็นการสร้างความเสียหายจนถึงระดับรากฐานให้แก่ความน่าเชื่อถือทางการเงินของสหรัฐฯ ขณะที่ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับจีนนั้นเป็นสิ่งที่สามารถบริหารจัดการได้ เนื่องจากจีนยังมีระบบชำระหนี้ระหว่างธนาคาร CIPS และสกุลเงินเหรินหมินปี้ ธุรกรรมบางส่วนของ CIPS เวลานี้งคงใช้เส้นทางที่ผ่านระบบ SWIFT ทว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น ในทำนองเดียวกัน ในบางแห่งบางที่มันก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นที่จะต้องโอนเงินตราสกุลต่างประเทศโดยใช้ดอลลาร์สหรัฐฯเป็นตัวกลาง
แต่ผลพวงต่อเนื่องที่จะเกิดขึ้นกับหนี้สินของสหรัฐฯนั้นจะกลายเป็นความหายนะสำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯทีเดียว เมื่อปี 2021 งบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯอยู่ที่ประมาณ 30% ของจีดีพี จากการที่รัฐบาลสหรัฐฯมีรายรับ 4.05 ล้านล้านดอลลาร์ แต่มีรายจ่าย 6.82 ล้านล้านดอลลาร์การขาดดุลงบประมาณซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่า 30% ของยอดรายจ่ายของสหรัฐฯ และส่วนต่าง 2.77 ล้านล้านดอลลาร์นี้ ทั้งหมดเลยต้องพึ่งพาอาศัยการกู้เงินมาจุนเจือ
อัตราดอกเบี้ยที่หนี้สินสหรัฐฯต้องชำระ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งจะต้องปรับสูงขึ้นไปเมื่ออยู่ในภาวะมีแรงบีบคั้นด้านเงินเฟ้ออย่างร้ายแรง แต่ในอีกส่วนหนึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับมูลค่าความน่าเชื่อถือของหนี้สหรัฐฯด้วย ซึ่งในฉากทัศน์ที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ มันจะตกอยู่ในสภาพเกิดความเสียหายอย่างสุดขีด แล้วถ้าหากสหรัฐฯไม่สามารถที่จะกู้หนี้เพื่อนำมาใช้จ่ายได้แล้ว รัฐบาลสหรัฐฯก็จะต้องปิดทำการกันในทันที
แรงกดดันด้านเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ยังมีที่มาจากการไหลกลับคืนมาของเงินดอลลลาร์ที่พิมพ์ออกมาจนล้นเกิน การพิมพ์เงินดอลลาร์ออกมายจนล้นเกิน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้เพราะความเป็นเจ้าใหญ่เหนือใครๆ ของเงินดอลลาร์ ในการค้าโลก และเงินดอลลาร์อยู่ในสภาพที่ตัดขาดไม่เกี่ยวข้องกับขนาดของเศรษฐกิจภายในประเทศของสหรัฐฯเอง คราวนี้เมื่อจีนและรัสเซียกำลังเปลี่ยนไปใช้สกุลเงินยูโร และสกุลเงินหยวนในการซื้อขายพลังงานและในการค้าโดยทั่วไป ส่วนซาอุดีอาระเบียก็ได้เริ่มต้นยอมรับการที่จีนจะชำระหนี้ค่าน้ำมันส่งออกเป็นเงินหยวน นี่จะนำไปสู่ภาวะที่เงินดอลลาร์ซึ่งพิมพ์ออกมามากเกินไป ต้องไหลกลับคืนไปยังสหรัฐฯเป็นจำนวนมหาศาล จึงยิ่งเป็นการเพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในสหรัฐฯขึ้นไปอีก
ขณะที่การค้าระหว่างจีนกับรัสเซียเกิดกระบวนการไม่ใช้สกุลเงินดอลลาร์ เป็นสิ่งที่ไม่น่าประหลาดใจอะไรนั้น ความเคลื่อนไหวของซาอุดีอาระเบียต้องถือว่าเป็นการทะลุทะลวงเปิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา การที่พวกผู้ส่งออกน้ำมันในตะวันออกกลางที่มีซาอุดีอาระเบียเป็นผู้นำ ตกลงกันที่จะใช้ดอลลาร์สหรัฐฯเป็นสกุลเงินตราเพื่อการชำระหนี้ค่าน้ำมันของพวกเขา ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่มีความสำคัญที่สุดในการตรึงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯเอาไว้ นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ประกาศยกเลิกการตรึงค่าดอลลาร์กับมาตรฐานทองคำ ทำให้เงินดอลลาร์ “ที่ไม่มีมาตรฐาน” (“non-standard” dollar) กลายเป็นเงินดอลลาร์ “มาตรฐานน้ำมัน” (“oil standard” dollar ) และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ดอลลาร์กลายเป็นสกุลเงินตราอ้างอิงในการชำระหนี้สำหรับการค้าโลก
นี่ทำให้ดอลลาร์ “มาตรฐานทองคำ” เปลี่ยนไปกลายเป็นดอลลาร์ “มาตรฐานน้ำมัน” ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นสกุลเงินตราอ้างอิงสำหรับการค้าโลก คราวนี้เนื่องจากเหตุผลต่างๆ หลายหลาก การนำเข้าและการส่งออกของจีนส่วนใหญ่แล้วชำระหนี้เคลียร์บัญชีกันโดยใช้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งส่งผลในทางอ้อมให้ดอลลาร์มีสถานะเป็น “มาตรฐานสินค้า” (goods standard) ไปด้วย และยิ่งมีความเข้มแข็งเข้าไปใหญ่ สำหรับสกุลเงินเหรินหมินปี้ในตัวมันเองมีคุณสมบัติต่างๆ ของการเป็น “มาตรฐานสินค้า” อยู่แล้ว และไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องไปผูกโยงกับตัวยึดเหนี่ยวตัวอื่นๆ
ซาอุดีอาระเบีย กับ จีน อาจจะไม่ปรับเปลี่ยนให้ธุรกรรมด้านน้ำมันมาใช้สกุลเงินหยวนทั้งหมดอย่างฉับพลันทันทีทันใด ทุนสำรองในรูปดอลลาร์ที่มีจำนวนมหึมาของจีนย่อมไม่สามารถปล่อยทิ้งเอาไว้นิ่งๆ ให้มันผุพังเน่าเปื่อยได้ พวกมันต้องมีการไหลเวียนจึงจะเกิดคุณค่าขึ้นมา อย่างไรก็ตาม การที่เงินหยวนกำลังค่อยๆ กลายเป็นสกุลเงินตราสำหรับชำระหนี้ของการค้าระหว่างประเทศ ย่อมเป็นสิ่งที่ทรงความสำคัญยิ่งเสียกว่าระเบิดนิวเคลียร์ 1,000 ลูกเสียอีก นี่คือเป็นเหตุการณ์ที่ใหญ่โตมหึมา
การที่น้ำมันรัสเซียปริมาณมหาศาลไหลมายังจีนสืบเนื่องจากยุโรปและสหรัฐฯสั่งห้ามนำเข้า บวกกับการที่ซาอุดีอาระเบียเปลี่ยนมาชำระหนี้เคลียร์บัญชีกันเป็นสกุลเงินเหรินหมินปี้ อาจกลายเป็นตัวบีบบังคับให้ประเทศต่างๆ จำนวนมากขึ้นๆ ซึ่งส่งออกน้ำมันมายังจีน เปลี่ยนมาชำระหนี้เคลียร์บัญชีกันด้วยสกุเลเงินเหรินหมินปี้บ้างก็ได้ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้คิดถึงคำพังเพยยุคเก่าที่กล่าวว่า “เราไม่ต้องวิ่งให้เร็วกว่าหมีหรอก แค่วิ่งให้เร็วกว่าคนที่อยู่ข้างหน้าเราก็พอแล้ว”
จีนเป็นโรงงานอุตสาหกรรมของโลก และเมื่อมีการปรับเปลี่ยนหันมาใช้เหรินหมินปี้กันอย่างมากมาย แม้กระทั่งเฉพาะแค่เพื่อชำระหนี้เคลียร์บัญชีในการค้าทวิภาคีซึ่งเกี่ยวข้องกับจีนเท่านั้น ยังจะทำให้เกิดการหลุดออกมาจากกระแสไหลเวียนของเงินดอลลาร์ในปริมาณมหึมาอยู่นั่นเอง ซึ่งย่อมหมายถึงการไหลกลับคืนไปของดอลลาร์ที่พิมพ์ออกมาจนล้นเกิน รวมทั้งก่อให้เกิดการพิมพ์เหรินหมินปี้อย่างล้นเกินนิดๆ ขึ้นมาด้วย นอกจากนั้นแล้ว จีนเองยังอาจลดทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของตนลงไปอย่างมากมาย โดยนำเอาหนี้สินสหรัฐฯปริมาณโตๆ ที่ครอบครองอยู่ออกมาขายทิ้ง เพื่อเปลี่ยนไปเป็นกองทุนในรูปแบบอื่นๆ ทั้งหมดเหล่านี้เมื่อมารวมสมทบเข้าด้วยกันแล้ว ย่อมสามารถก่อให้เกิดเป็นอภิมหาพายุซัดกระหน่ำใส่เงินดอลลาร์
การปรับเปลี่ยนของซาอุดีอาระเบีย ก็เป็นตัวแทนแสดงให้เห็นเช่นกันว่าอิทธิพลของสหรัฐฯกำลังเสื่อมทรามมาจนถึงจุดวิกฤตอีกจุดหนึ่งแล้ว การที่ซาอุดีอาระเบียยอมรับเงินหยวนในการซื้อขายน้ำมันยังไม่ได้หมายความถึงการหันมาโปรจีนหรอก ทว่าการยุติไม่ต้องให้มีการชำระหนี้กันเป็นดอลลาร์อย่างน้อยก็บางส่วนเช่นนี้ ยังคงหมายถึงการวางตัวเหินห่างจากสหรัฐฯอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเมื่อบวกเรื่องนี้เข้ากับข้อเท็จจริงที่ว่า ไบเดน พยายามติดต่อกับซาอุดีอาระเบียเพื่อให้เพิ่มการผลิตน้ำมันและลดราคาน้ำมันลงมา และซาอุดีอาระเบียไม่ยอมแม้กระทั่งรับโทรศัพท์ มันก็เป็นที่กระจ่างว่าแนวโน้มของการแปลกแยกห่างเหินจากสหรัฐฯกำลังเห็นชัดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
แล้วมันไม่ใช่จะมีแค่ซาอุดีอาระเบียประเทศเดียวหรอก ประเทศอื่นๆ จำนวนมากขึ้นๆ จะเดินตามอย่าง อันที่จริงก่อนหน้านี้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ได้ต้านทานแรงบีบคั้นกดดันของสหรัฐฯ และปฏิเสธไม่ยอมหย่าร้างถอยห่างจากการใช้ 5จี ของหัวเว่ย ถึงแม้วอชิงตันใช้วิธีจะไม่ขายเครื่องบิน เอฟ-35 ให้ ในที่สุด ยูเออี ก็ตัดสินใจยกเลิกการซื้อนี้ และหันมาสั่งซื้อเครื่องบินฝึกแบบ แอล-15 ของจีนด้วยซ้ำ ถือเป็นสัญญาณแห่งการแปลกแยกถอยห่างจากสหรัฐฯที่ชัดเจนอีกประการหนึ่ง จากประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ในตะวันออกกลางอีกรายหนึ่ง นอกจากนั้นแล้ว น้ำมันก็ไม่ใช่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การค้าโดยไม่ใช้ดอลลาร์ในสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
มากขึ้นๆ ยังจะเกิดตามมาอีก
อำนาจซื้อของเหรินหมินปี้ในโลก อยู่ในสภาพที่ล้ำเกินน้ำหนักของมันซึ่งมีอยู่ในการชำระหนี้ระหว่างประเทศมานานแล้ว ประเทศส่วนใหญ่ในโลกต่างขาดดุลการค้ากับจีน และไม่ได้มีปัญหาว่าการถือครองเงินเหรินหมินปี้ คือ “การทำให้ (จีน) ได้อะไรบางอย่างไปโดย (จีน) ไม่ได้ทำอะไรที่สมควรเลย” หลังจากมีก้าวเดินก้าวแรกเช่นนี้แล้ว เป็นที่คาดหมายกันว่าเงินเหรินหมินปี้จะถูกใช้เป็นสกุลเงินตราสำหรับการชำระหนี้ทางการค้าระหว่างพวกประเทศที่สามด้วยกันซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับจีนด้วย ตัวอย่างเช่น ถ้าการค้าระหว่างรัสเซียกับเวียดนามชำระหนี้เคลียร์บัญชีกันเป็นสกุลเงินเหรินหมินปี้ ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีความวิตกกังวลใดๆ ว่าจะไม่มีเงินทองให้ใช้ได้จริงๆ หลังจากรับเอาเงินเหรินหมินปี้มาแล้ว อันที่จริงมันก็จากวิธีการเช่นนี้แหละ ที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯได้รับสถานะเป็นสกุลเงินตราอ้างอิงสำหรับใช้เพื่อการชำระหนี้ทางการค้าของโลก
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเรื่องที่จะต้องใช้เวลา ถ้าหากไม่มีสงครามในยูเครน และ “การเปลี่ยนข้าง” ของน้ำมันรัสเซียที่หันมายังจีนแล้ว มันก็อาจจะต้องใช้เวลากันอย่างน้อยที่สุด 20 ปี แต่ตอนนี้มันเร่งตัวเร็วขึ้นอย่างมากมาย บางทีจะใช้เวลาอีกสัก 3 ถึง 5 ปีก็จะได้เห็นผลลัพธ์แรกๆ กันแล้ว
สหรัฐฯกำลังสู้รบทำสงครามทางเศรษฐกิจเพื่อเล่นงานโจมตีจีน แต่จุดอ่อนข้อบกพร่องของพวกเขากลับปะทะกับข้อได้เปรียบของพวกเขา เศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นอยู่ในอาการกลวงโบ๋ข้างในและต้องพึ่งพิงการกู้เงินจากภายนอกอย่างมหาศาล กระบวนการถอยห่างจากอุตสาหกรรมของสหรัฐฯนั้นหลายๆ ด้านได้เลยผ่านพ้นจุดที่จะสามารถหวนกลับคืนมาได้เสียแล้ว และนาวาแห่งความมั่งคั่งรุ่งเรืองของสหรัฐฯระหว่างช่วงเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ลอยลำอยู่ในน่านน้ำของจีน สหรัฐฯยังคงมีเทคโนโลยีและระบบเศรษฐกิจที่น่าประทับใจ ทว่ามันก็เหมือนกับดารากองหน้านักทำประตูในเกมฟุตบอล ผู้ซึ่งดูเผินๆ ก็เหมือนกับเขาเก่งกล้าสามารถทำประตูได้มากมาย และมีทักษะความสามารถอันละเอียดประณีตมาก โดยที่ไม่ได้ตระหนักถึงความเป็นจริงเลยว่า ทีมที่จะยิ่งใหญ่ได้นั้นต้องพึ่งพาอาศัยผู้เล่นตำแหน่งมิดฟิลด์
ในยุคเกษตรกรรม เราจำเป็นต้อง “ปลูกอะไรบางอย่าง” และในยุคอุตสาหกรรม เราจำเป็นต้อง “ทำอะไรบางอย่าง” จีนคือโรงงานของโลกและก็เป็นผู้เล่นมิดฟิลด์ที่มั่นคงแน่นอนไว้วางใจได้ กองหน้าสหรัฐฯและมิดฟิลด์จีนเมื่อเล่นอยู่ในทีมเดียวกัน กองหน้าสหรัฐฯก็ต้องยิงประตูให้ได้ แต่เมื่อทีมสหรัฐฯกับทีมจีนกลับมาเผชิญหน้ากันเองแล้ว กองหน้าสหรัฐฯนั้นทรงพลังมากทว่ามีจุดอ่อนตรงที่ผู้เล่นมิดฟิลด์อ่อนปวกเปียก ขณะที่กองหน้าจีนอ่อนกว่าสักหน่อย ทว่าได้รับการหนุนหลังจากมิดฟิลด์ที่แข็งแกร่ง ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไรยังเป็นเรื่องที่ต้องรอลุ้นกัน
มันไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่สหรัฐฯจะกลับมาสร้างอุตสาหกรรมการผลิตขึ้นอีกครั้ง แต่กระทั่งว่าเรื่องนี้คุ้มค่าและมีความเป็นไปได้ มันก็จะต้องใช้เวลา 20 ปี มาถึงตอนนี้ต้องถือว่าสายเกินไปเสียแล้ว ถ้าสหรัฐฯต้องสู้รบทำสงครามทางเศรษฐกิจกับจีนในเวลานี้ มันก็จะกลายเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจเท่านั้นเอง
ยังมีปัญหาอีกประการหนึ่ง นั่นคือ พวกไฟฟ์อายส์ (Five Eyes), ยุโรป, ญี่ปุ่น, และเกาหลีใต้ ต่างเข้าร่วมในการแซงชั่นรัสเซีย แต่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลับมีเพียงสิงคโปร์ชาติเดียวเท่านั้น กระทั่งเม็กซิโกและอินเดียยังไม่เดินตามเลย ประเทศสำคัญที่สุดที่ขาดหายไปและดูเหมือนหลบหลีกอำพรางความสนใจของทุกๆ คน ได้แก่ อิสราเอล ซึ่งก็ไม่ได้เข้าร่วมในการแซงก์ชั่นรัสเซีย
(ไฟฟ์อายส์Five Eyes กลุ่มพันธมิตรเพื่อการแบ่งปันแลกเปลี่ยนข่าวกรองของ 5 ชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ได้แก่ สหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, และแคนาดา ดูเพิ่มเติมได้ที่https://en.wikipedia.org/wiki/Five_Eyes -ผู้แปล)
ถ้าสหรัฐฯและยุโรปประกาศว่า “หากจีนไม่ยอมเดินตามในการดำเนินการแซงก์ชั่นรัสเซียแล้ว ก็แซงก์ชั่นจีนเสียเลยเถอะ” มันจะไม่ใช่หมายความว่าพวกเขาต้องแซงก์ชั่นทั่วทั้งโลกเลยหรือ? สหรัฐฯกับยุโรปกำลังปิดล้อมทุกๆ ประเทศที่พวกเขาไม่ชอบ หรือว่าพวกเขากำลังโดดเดี่ยวพวกเขาเองจากโลกกันแน่ ?
แต่ประเด็นที่ใหญ่โตยิ่งกว่านั้นเสียอีกคือ เรื่องนี้: ผลประโยชน์ต่างๆ ทางเศรษฐกิจจากการค้าสหรัฐฯ-จีน อาจจะเป็นเหตุผลใหญ่ประการหนึ่งที่ทำไมจีนจึงใช้ความอดทนอดกลั้นอยู่เสมอในเรื่องช่องแคบไต้หวัน ถ้าสหรัฐฯเป๊นฝ่ายริเริ่มทำลายความสมดุลนี้เสียแล้ว มันก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จีนจะไม่ผลักดันอย่างหนักหน่วงจริงจังเพื่อดำเนินการรวมมาตุภูมิให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความถึงการรวมชาติเป็นเอกภาพด้วยการใช้กำลังอาวุธในฉับพลันทันทีหรอก มันยังไม่สายเกินไปสำหรับไต้หวันที่จะเป็นฝ่ายริเริ่มและเรียกร้องขอสันติภาพ
ถ้ากองทัพปลดแอกแประชาชนจีนกระทำสงครามเพื่อรวมมาตุภูมิให้เป็นเอกภาพกันแล้ว กองทัพนี้จะไม่สามารถอนกำลังกลับออกมาเหมือนกับกองทัพรัสเซียในยูเครน กองทัพปลดแอกประชาชนจีนเตรียมการในเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 1996 แล้ว ขณะที่ด้านการทหารมีการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ และประเทศชาติก็เข้มแข็งขึ้นไม่ได้หยุดเช่นกัน วิธีการและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ทว่าความมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง เพียงแค่มีคำสั่งเดียวออกมาเท่านั้น กองทัพปลดแอกประชาชนจีนสามารถที่จะโจมตีอย่างหนักหน่วงและตั้งจุดมุ่งหมายไปสู่ชัยชนะ ตั้งแต่วันนี้ทีเดียว
มติมหาชนสหรัฐฯยังเชื่อว่ากองทัพสหรัฐฯนั้นมีความได้เปรียบทางการทหาร ทว่าฝ่ายทหารสหรัฐฯเองกลับมีสติสงบเสงี่ยมมากกว่า ทั้งนี้เนื่องจากความได้เปรียบต่างๆ ของพวกเขาได้สลายหายไปตั้งนานมาแล้ว
เมื่อสักสิบกว่าปีก่อน ฝ่ายทหารสหรัฐฯเสนอแนวความคิดให้ถกเถียงกัน ในเรื่องการทำสงครามทางอากาศ-ทางทะเล ซึ่งจะนำสงครามไปยังชายฝั่งของจีนและบดขยี้ความสามารถในการสู้รบข้ามทะเลของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน แต่มาถึงเวลานี้พวกเขาไม่เพียงแค่กำลังวิตกเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของพวกฐานทัพต่างๆ จาก คาเดนะ (Kadena) ไปจนถึงกวม (Guam) พวกเขายังกำลังพยายามเกลี้ยกล่อมชักนำให้ไต้หวันยอมรับนำเอายุทธวิธีแบบ “เม่น” มาใช้ และทำตามตัวอย่างของยูเครนด้วยการใช้ขีปนาวุธต่อสู้อากาศยานและขีปนาวุธต่อสู้รถถังแบบยิงประทับบ่า มาทำให้เกิดการเข่นฆ่ากันอย่างมโหฬารและทำให้การปฏิบัติการของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนต้องหยุดชะงัก
(คาเดนะKadena หมายถึงฐานทัพอากาศสหรัฐฯที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองคาเดนะ และเมืองอื่นๆ ใกล้เคียงกัน บนเกาะโอกินาวะ ของญี่ปุ่น ถือเป็นฐานทัพอากาศแห่งใหญ่ที่สุดและมีการใช้งานกันมากที่สุดของสหรัฐฯในเอเชียตะวันออก บ่อยครั้งมักได้รับการอ้างอิงว่าเป็น “เสาหลักแห่งแปซิฟิก” ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Kadena_Air_Base -ผู้แปล)
(กวมGuam หมายถึงฐานทัพเรือทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ (รวมถึงฐานทัพอากาศแอนเดอร์เสน) ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกวม ดินแดนของสหรัฐฯในหมู่เกาะมาเรียนา ทางซึกตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ถือเป็นดินแดนส่วนที่อยู่ด้านตะวันตกไกลสุดของสหรัฐฯ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/Naval_Base_Guam และhttps://en.wikipedia.org/wiki/Guam -ผู้แปล)
ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ยุทธวิธีเช่นนี้สามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อกำลังขนาดใหญ่ของกองทัพบกแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนจีนยกพลขึ้นเกาะไต้หวันแล้วเท่านั้น แต่ถ้ากองทัพปลดแอกประชาชนจีนเอากองทหารขนาดใหญ่ของกองทัพบกขึ้นไปบนเกาะแล้วจริงๆ สงครามก็จะแทบสิ้นสุดลงเรียบร้อยแล้ว กองทัพปลดแอกประชาชนจีนนั้นไม่ใช่กองทัพรัสเซีย
และทันทีที่กองทัพปลดแอกประชาชนจีนยกกำลังขึ้นไปอยู่บนเกาะไต้หวัน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถอนกลับออกมา จากนั้นไต้หวันจะหวนกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของมาตุภูมิไปตลอดกาล
ถ้าหากจีนเป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่ที่สุดต่อผลประโยชน์ระยะยาวของสหรัฐฯแล้ว ไต้หวันก็คือกุญแจล็อกอันสุดท้ายที่ดึงรั้งจีนเอาไว้ให้ยังไม่ขยับอะไร แต่เมื่อกุญแจล็อกตัวนี้ถูกเปิดออกเสียแล้ว มหาสมุทรแปซิฟิกและทั่วทั้งโลกก็จะถูกเปิดกว้างด้วยเช่นกัน ด้วยความปรารถนาที่จะโจมตีจีนโดยใช้สงครามเศรษฐกิจ สหรัฐฯกลับจะต้องจบลงด้วยการป้องกันที่ขาดวิ่นในทางการทหาร –ซึ่งถึงอย่างไรมันก็ย่อมไม่ใช่เป็นการแลกกันที่ดีงามอย่างแน่นอน
ผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของสหรัฐฯนั้นอยู่ที่การธำรงรักษาสถานะเดิมในช่องแคบไต้หวันเอาไว้ เมื่อพูดขยายความออกไปอีกก็คือ สหรัฐฯไม่สามารถที่จะขยายการทำสงครามทางเศรษฐกิจเพื่อต่อต้านโจมตีจีนอย่างไม่มีขอบเขต แล้วยังคงสามารถหลีกเลี่ยงไม่ทำลายสถานะเดิมในช่องแคบไต้หวัน
คุณไม่สามารถบอกปัดความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะเกิดบ้าคลั่งขึ้นมา แต่ในเหตุการณ์เช่นนั้น จีนก็ไม่หวาดกลัวที่จะหาประโยชน์จากฉากทัศน์แบบเลวร้ายที่สุดซึ่งอาจเกิดขึ้นมาได้
ข้อเขียนนี้ปรากฏทีแรกใน guancha.cn เว็บไซต์ข่าวและความเห็นภาษาจีน ซึ่ง เฉิน เฟิง เป็นคอลัมนิสต์เขียนเรื่องในด้านการทหาร (guancha เป็นคำภาษาจีนแปลว่า “ผู้สังเกตการณ์” Observer)