เอเอฟพี - พายุไซโคลนบัตซีราย(Cyclone Batsirai) วันนี้ (7 ก.พ)เดินทางออกไปจากมาดากัสการ์ ประเทศหมู่เกาะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชื่อดังในแอฟริกาตะวันออก หลังมีผู้เสียชีวิต 20 รายและอีก 55,000 คนต้องพลัดถิ่น พายุสร้างความเสียหายให้กับประเทศหมู่เกาะที่ผจญกับความแห้งแล้งแต่มีเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ส่งผลให้สหประชาชาติออกมาเตือนวิกฤติทางด้านมนุษยธรรม
เอเอฟพีรายงานวันนี้(7 ก.พ)ว่า มาดากัสการ์ที่ยังไม่หายจากความบอบช้ำที่เห็นผู้เสียชีวิตไป 55 คนหลังจากพายุโซนร้อนขึ้นฝั่งเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้าและรวมไปถึงปรากฎการณ์สภาพอากาศที่ร้ายแรงในเวลาที่ประธานาธิบดีแอฟริกาใต้ ซีริล รามาโฟซา กล่าวว่า ทวีปแอฟริกาต้องเผชิญกับปรากฎการณ์ภาวะโลกร้อน
ทั้งนี้พายุไซโคลนบัตซีราย(Cyclone Batsirai)ขึ้นฝั่งทางตะวันออกของมาดากัสการ์ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดียจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวชื่อดังในแอฟริกาตะวันออกเมื่อค่ำวันเสาร์(5) ทำให้เกิดฝนตกหนักและลมพัดความเร็ว 165 กิโลเมตร/ชั่วโมง หลังจากพัดเข้าดินแดนอาณานิคมฝรั่งเศสโพ้นทะเล เกาะเรอูว์นียง (Réunion)ก่อนหน้า
ด้าน Jean Benoit Manhes เจ้าหน้าที่องค์การยูนิเซฟของสหประชาชาติประจำมาดากัสการ์ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีในวันนี้(7)ว่า พายุไซโคลนบัตซีรายเดินทางออกจากมาดากัสการ์ไปตั้งแต่ช่วงเช้าเมื่อเวลา 07.00 น. มุ่งหน้าสู่ช่องแคบโมซัมบิก (Mozambique Channel)
สำนักงานจัดการภัยพิบัติมาดากัสการ์กล่าวว่า ผลจากพายุเข้าทำให้มีผู้เสียชีวิตในประเทศทั้งหมด 20 คนและอพยพออกมาจากบ้านเรือนอีก 55,000 คน
ยูนิเซฟเตือนว่า เหยื่อจำนวนมากน่าจะเป็นเด็กๆซึ่งคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งประเทศ
บัตซีรายเดินทางเข้ามาดากัสการ์ครั้งแรกทางตะวันออกซึ่งเป็นเขตเกษตรกรรมที่มีประชากรอาศัยอย่างหนาแน่นในวันเสาร์(5)ก่อนที่จะเริ่มอ่อนตัวลง พบว่าเมืองมานานจารีย์ (Mananjary)ทางตะวันออกเสียหายทั้งเมือง อ้างอิงจากพยานที่เป็นชาวเมือง
อย่างไรก็ตามไม่พบว่าพายุไซโคลนสร้างความเสียหายให้กับกรุงอันตานานารีโว (Antanarivo) และเมืองท่าเรือหลักโทมาสินา(Toamasina หรือ Tamatave) นำมาสู่ตัวเลขการเสียชีวิตที่ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในตอนแรก โดยพายุบัตซีรายทำลายถนนหลักที่เชื่อมระหว่างทางเหนือและทางใต้ของเกาะเข้าด้วยกัน ส่งผลทำให้เป็นการยากที่จะนำความช่วยเหลือการบรรเทาทุกข์ไปยังหมู่บ้านต่างๆรวมไปถึงพื้นที่แล้งจัด เจ้าหน้าที่ยูนิเซฟกล่าว
ทั้งนี้ในวันอาทิตย์(6)พบว่าประชาชนราว 10,000 คนบนเกาะเรอูว์นียงต้องอยู่โดยที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ 3 วันหลังจากบัตซีรายพัดผ่านไปทั่วทั้งเกาะและทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 12 คนตามรายทาง