หญิงชาวอินโดนีเซียในจังหวัดอาเจะห์ถูกลงโทษเฆี่ยน 100 ที ฐานคบชู้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่ฝ่าย “ชายชู้” ซึ่งปฏิเสธข้อกล่าวหาโดนเฆี่ยนแค่ 15 ที
อีวาน นัจจาร์ อาลาวี หัวหน้าแผนกสอบสวนทั่วไปของสำนักงานอัยการอาเจะห์ตะวันออก ระบุว่า ศาลได้พิพากษาลงโทษสถานหนักต่อหญิงซึ่งแต่งงานมีสามีแล้ว หลังจากที่เธอรับสารภาพว่าไปมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสกับชายอื่น
อย่างไรก็ตาม คณะผู้พิพากษาไม่สามารถที่จะตัดสินความผิดของฝ่ายชายซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักงานประมงของอาเจะห์ตะวันออก และแต่งงานมีลูกเมียแล้วเช่นกัน เนื่องจากเขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
“ระหว่างการไต่สวน เขาไม่ยอมรับอะไรทั้งสิ้น และยืนกรานปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ดังนั้น (ผู้พิพากษา) จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาทำผิดจริงหรือไม่” อาลาวี ให้สัมภาษณ์ หลังจากที่บุคคลทั้งสองถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตามกฎหมายอิสลาม (ชารีอะห์) ไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (13 ม.ค.)
แม้จะเอาผิดฐานคบชู้ไม่ได้ แต่คณะผู้พิพากษาเห็นว่าชายคนนี้ยังมีความผิดฐาน “แสดงความรักใคร่ต่อหญิงที่ไม่ใช่ภรรยาของตน” หลังมีพยานยืนยันว่าเห็นคนทั้งสองอยู่ด้วยกันในสวนปาล์มเมื่อปี 2018
ตอนแรกศาลได้พิพากษาลงโทษฝ่ายชายด้วยการเฆี่ยน 30 ที แต่เขาได้ยื่นอุทธรณ์จนกระทั่งศาลสูงสุดอาเจะห์ยอมลดโทษให้เหลือเพียง 15 ที
ผู้สื่อข่าวเอเอฟพีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ต้องสั่งหยุดพักการลงโทษชั่วคราว เนื่องจากฝ่ายหญิงนั้นไม่สามารถทนความเจ็บปวดจากการถูกเฆี่ยนพร้อมกันถึง 100 ทีได้
ในวันเดียวกัน ยังมีชายอีกคนที่ถูกศาลอาเจะห์สั่งเฆี่ยน 100 ที ฐานมีเพศสัมพันธ์กับผู้เยาว์ และยังต้องรับโทษจำคุกอีก 75 เดือนด้วย
อาเจะห์เป็นจังหวัดเดียวในอินโดนีเซียที่มีการบังคับใช้กฎหมายชารีอะห์ ซึ่งกำหนดโทษเฆี่ยนสำหรับผู้ที่กระทำผิดฐานเล่นการพนัน คบชู้ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีเพศสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ
การนำกฎหมายอิสลามมาบังคับใช้อย่างเข้มงวดนี้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงสันติภาพระหว่างกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในอาเจะห์กับรัฐบาลกลางอินโดนีเซียเมื่อปี 2005 ซึ่งช่วยปิดฉากการก่อความไม่สงบที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี
องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนวิจารณ์การเฆี่ยนประจานเช่นนี้ว่าเป็นบทลงโทษที่ป่าเถื่อน และแม้แต่ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด เองก็ยังเรียกร้องให้เลิกธรรมเนียมนี้เสีย ทว่าประชากรมุสลิมอาเจะห์ส่วนใหญ่ยังคงเห็นด้วยกับบทลงโทษตามหลักชารีอะห์
ที่มา : เอเอฟพี