เยอรมนีเตือนประชาชนถ้าไม่ฉีดวัคซีนภายในปลายฤดูหนาวนี้อาจต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต ขณะที่อเมริกาแนะพลเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางไปเมืองเบียร์และเดนมาร์กเนื่องจากโควิดระบาดหนัก ด้านอิสราเอลเริ่มฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 5-11 ปีแล้ว หลังพบผู้ติดเชื้อใหม่ครึ่งหนึ่งอายุต่ำกว่า 11 ปี
วันจันทร์ที่ผ่านมา (22 พ.ย.) กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปรับคำเตือนพลเมืองสำหรับการเดินทางเยอรมนีและเดนมาร์ก ขึ้นเป็นระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด พร้อมแนะนำให้งดเดินทางไปยังสองประเทศนี้เนื่องจากมียอดผู้ติดเชื้อโควิดพุ่งสูง
ทั้งนี้ เชื่อกันว่า การที่ยุโรปเวลานี้กลับมาเป็นศูนย์กลางระบาดของโควิด-19 เป็นเพราะบางประเทศมีอัตราการฉีดวัคซีนเฉื่อยลง ขณะที่ไวรัสสายพันธุ์เดลตาระบาดได้ง่าย และอากาศหนาวเย็นที่ทำให้คนอยู่แต่ในบ้าน
เจนส์ สแปห์น รัฐมนตรีสาธารณสุขเยอรมนี เตือนเมื่อวันจันทร์ว่า ปลายฤดูหนาวนี้ประชาชนในประเทศควรได้รับการฉีดวัคซีน ไม่เช่นนี้ก็อาจต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต
วันเดียวกันนั้น นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลที่กำลังจะลงจากตำแหน่ง เตือนว่า มาตรการจำกัดต่างๆ ที่ใช้อยู่ เช่น การห้ามผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนเข้าไปในสถานที่บางแห่ง อาจจะยังไม่เพียงพอ
ขณะที่เตียงผู้ป่วยในแผนกวิกฤตเต็มอย่างรวดเร็ว บางรัฐในเยอรมนีที่เผชิญการระบาดรุนแรงที่สุด จึงมีการฟื้นคำสั่งล็อกดาวน์ซึ่งรวมถึงการปิดตลาดคริสต์มาส
ด้านออสเตรีย บ้านใกล้เรือนเคียงของเยอรมนี ได้ฟื้นมาตรการเข้มงวดแล้วเช่นกันโดยมีคำสั่งปิดร้านค้า ร้านอาหาร และตลาดคริสต์มาสตั้งแต่วันจันทร์ ซึ่งถือเป็นมาตรการเข้มงวดที่สุดในยุโรปตะวันตกในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลังจากนายกรัฐมนตรีอเล็กซานเดอร์ ชาเลนเบิร์ก วิจารณ์อัตราการฉีดวัคซีนที่ต่ำอย่างน่าละอายแค่ 66% เทียบกับ 75% ในฝรั่งเศส
ประชาชน 8.9 ล้านคนของประเทศนี้ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านเฉพาะเมื่อไปทำงาน ซื้อของใช้ที่จำเป็น และออกกำลังกายเท่านั้น รัฐบาลยังมีแผนบังคับให้ประชาชนฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ปีหน้า
อย่างไรก็ดี ข่าวนายกรัฐมนตรีฌอง คาสเท็กซ์ของฝรั่งเศส ติดโควิดทั้งที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว สะท้อนว่า การฉีดวัคซีนไม่สามารถหยุดยั้งการระบาดได้เสมอไป
คาสเท็กซ์ที่จะต้องกักตัว 10 วัน ตรวจพบติดโควิดหลังประชุมกับอเล็กซานเดอร์ เดอ ครู นายกรัฐมนตรีเบลเยียม ซึ่งในเวลาต่อมามีประกาศว่า เดอ ครูและรัฐมนตรีเบลเยียมหลายคนก็จะต้องกักตัว
ขณะเดียวกัน การฟื้นมาตรการป้องกันโควิดเผชิญการต่อต้านในหลายเมืองในยุโรป โดยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีคนนับหมื่นรวมตัวประท้วงบนถนน และบางแห่งสถานการณ์ลุกลามกลายเป็นเหตุการณ์รุนแรง
นายกรัฐมนตรีมาร์ก รัตเตของเนเธอร์แลนด์ ประณามเหตุการณ์ไม่สงบตลอด 3 คืนติดกันว่าเป็น “ความรุนแรงจากฝีมือพวกปัญญาอ่อน” ขณะที่เดอ ครู ผู้นำเบลเยียม กล่าวว่า การประท้วงของประชาชน 35,000 คนในบรัสเซลส์ที่กลายเป็นความรุนแรงเป็น “สิ่งที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง”
ส่วนที่อิสราเอล รัฐบาลเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคให้เด็กอายุ 5-11 ปีตั้งแต่วันจันทร์ โดยนายกรัฐมนตรีนาฟตาลี เบนเน็ตต์ โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า อิสราเอลกำลังเผชิญการระบาดในหมู่เด็ก โดยที่ผู้ได้รับการยืนยันติดเชื้อราวครึ่งหนึ่งเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 11 ปี
ก่อนหน้านี้อิสราเอลเริ่มฉีดวัคซีนให้เยาวชนอายุ 12-17 ปี แต่ตัดสินใจลดเกณฑ์อายุลง เนื่องจากเห็นว่า การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องสุขภาพของเด็กและหยุดยั้งการระบาดของโควิด สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาผู้วางนโยบายยังย้ำว่า แม้เด็กเล็กไม่ค่อยป่วยหนักจากโควิด แต่มีความเสี่ยงในระยะยาว
กระทรวงสาธารณสุขอิสราเอลประเมินว่า เด็ก 1 ใน 3500 คนที่ติดโควิดจะเกิดกลุ่มอาการอักเสบหลายระบบในเด็กในภายหลัง ซึ่งหมายถึงการที่อวัยวะบางส่วน เช่น หัวใจ ปอด ไต สมอง ผิวหนัง และอวัยวะในระบบทางเดินอาหาร เกิดอาการอักเสบ และเด็กส่วนใหญ่ที่มีอาการนี้จะต้องเข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยวิกฤตและ 1-2% เสียชีวิต
เจ้าหน้าที่ยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความเสี่ยงของอาการเรื้อรัง เช่น มีปัญหาในการนอน ปวดกล้ามเนื้อ สูญเสียความสามารถในการได้กลิ่นและรับรู้รสชาติ ปวดศีรษะ และไอ หรือที่เรียกว่า อาการหลงเหลือหลังติดเชื้อโควิด (long Covid)
ทั้งนี้ ผลสำรวจของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า ในกลุ่มเด็กกว่า 13,000 คน มีประมาณ 11% มีอาการลองโควิดหลังรักษาหาย 6 เดือน
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของแม็กคาบี ซึ่งเป็นผู้ให้บริการดูแลสุขภาพ พบว่า พ่อแม่ 41% ที่มีลูกอายุ 5-11 ปี จะให้ลูกฉีดวัคซีน ขณะที่ 21% ยังไม่ตัดสินใจ และ 38% ไม่อนุญาต
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)