แคลิฟอร์เนียกลายเป็นมลรัฐแรกของอเมริกาที่บังคับให้ครูทุกคนต้องฉีดวัคซีนหรือตรวจโควิดทุกสัปดาห์ หลังยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันพุ่งทะลุ 10,000 คน หรือเพิ่มขึ้นจากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาถึง 10 เท่า ขณะที่ผู้อำนวยการซีดีซีเรียกร้องให้ว่าที่คุณแม่ หรือผู้หญิงที่วางแผนตั้งครรภ์หรือที่กำลังให้นมบุตร เข้ารับการฉีดวัคซีน เนื่องจากผลศึกษาพบวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอไม่เพิ่มความเสี่ยงแท้ง
จำนวนผู้ติดโควิดทั่วสหรัฐฯ พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้จากการระบาดของไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา
ในวันพุธ (11 ส.ค.) เกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนในโรงเรียนทั้งรัฐบาลและเอกชนฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 หรือไม่ก็ต้องแสดงผลตรวจโควิดทุกสัปดาห์ เพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองมั่นใจในการส่งบุตรหลานกลับเข้าเรียนในโรงเรียนในปีการศึกษาใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลานี้
เช่นเดียวกับอีกหลายรัฐในอเมริกา แคลิฟอร์เนียสามารถจัดการกับวิกฤตโรคระบาดที่เลวร้ายที่สุดได้เมื่อต้นปีและการดำเนินชีวิตกลับสู่ภาวะปกติเป็นส่วนใหญ่ ทว่า ขณะนี้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในรัฐนี้กลับเพิ่มขึ้นเกิน 10,000 คนทุกวัน หรือมากกว่าช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาถึง 10 เท่า และแพทย์ระบุว่า ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่คือผู้ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน
ขณะเดียวกัน ข้อมูลของรอยเตอร์ระบุว่า จำนวนเคสใหม่ในอเมริกาเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่าจากเดือนที่แล้ว โดยจำนวนผู้ติดเชื้อเฉลี่ยในรอบ 7 วันพุ่งขึ้นเป็น 118,000 คนเมื่อวันอังคาร (10)
คำสั่งของนิวซอม ทำให้แคลิฟอร์เนียเป็นรัฐแรกในอเมริกาที่บังคับให้บุคลากรทางการศึกษาทั้งหมดฉีดวัคซีน เพิ่มเติมจากกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ และยังเกิดขึ้นขณะที่ผู้พิพากษาศาลแขวงในดัลลัส ระงับชั่วคราวการบังคับใช้คำสั่งของเกร็ก แอ็บบอตต์ ผู้ว่าการรัฐเทกซัส ที่ห้ามไม่ให้บังคับสวมหน้ากากป้องกันภายในรัฐ
แอ็บบอตต์ รวมทั้ง รอน ดีแซนทิส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา ที่สังกัดพรรครีพับลิกันเช่นเดียวกัน กำลังเผชิญการท้าทายจากภายในรัฐของตนเอง เกี่ยวกับคำสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นบังคับให้ประชาชนหรือลูกจ้างสวมหน้ากาก
ในทางกลับกัน เคต บราวน์ ผู้ว่าการรัฐออริกอน ซึ่งสังกัดพรรคเดโมแครต ประกาศวันอังคาร บังคับให้ลูกจ้างทั้งหมดในส่วนบริหารของรัฐต้องฉีดวัคซีน และยังฟื้นคำสั่งสวมหน้ากากภายในอาคารทั่วทั้งรัฐ
ต้นสัปดาห์นี้กระทรวงกลาโหมอเมริกันก็ประกาศจะดำเนินการภายในเดือนหน้าเพื่อบังคับให้ทหารทุกนายต้องฉีดวัคซีน
นอกจากนั้น ในเร็วๆ นี้ นิวยอร์กซิตีประกาศแผนจะกำหนดให้ประชาชนต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนก่อนเข้าใช้บริการในร้านอาหารและฟิตเนส รวมทั้งพื้นที่สาธารณะในอาคารอื่นๆ โดยที่เมืองลอสแองเจลิสมีแนวโน้มบังคับใช้มาตรการนี้เช่นเดียวกัน
ในอีกด้านหนึ่ง พญ.โรเชลล์ วาเลนสกี ผู้อำนวยการศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (ซีดีซี) ออกมาเรียกร้องให้สตรีมีครรภ์ ตลอดจนถึงสตรีที่วางแผนตั้งครรภ์หรือที่ให้นมลูกอยู่ ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโควิดโดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตาที่กำลังระบาดรุนแรง
จากข้อมูลล่าสุด สตรีมีครรภ์เพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 โดส
ซีดีซีสำทับว่า การวิเคราะห์ข้อมูลปัจจุบันพบว่า ในสตรีมีครรภ์เกือบ 2,500 คนที่ฉีดวัคซีนเทคโนโลยีเอ็มอาร์เอ็นเอ เช่น วัคซีนของไฟเซอร์และโมเดอร์นา ก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ มีอัตราการแท้งอยู่ที่ 13% เทียบกับอัตราการแท้งจากสาเหตุทั่วไปซึ่งอยู่ที่ 11-16% อยู่แล้ว จึงหมายความว่าไม่ได้มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ยิ่งเมื่อคำนึงถึงว่าการติดโรคโควิด-19 จะเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเจ็บป่วยหนักและเพิ่มความยุ่งยากต่อการตั้งครรภ์ด้วยแล้ว การฉีดวัคซีนป้องกันจึงมีประโยชน์มากกว่า ซีดีซีชี้
(ที่มา : เอพี, เอเอฟพี, รอยเตอร์)