จีนลงดาบเจ้าหน้าที่กว่า 30 คน โทษฐานบกพร่องในการรับมือการระบาดระลอกล่าสุดของโควิด-19 ขณะที่ในสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่การแพทย์ระดับสูงเตือนว่า ประเทศกำลังพ่ายแพ้ในการต่อสู้เพื่อควบคุมวิกฤตไวรัส และหมอใหญ่ทำเนียบขาวสำทับความล้มเหลวในการสกัด “เดลตา” จะเพิ่มความเสี่ยงเกิดไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่อาจสร้างปัญหารุนแรงขึ้นไปอีก
เจ้าหน้าที่จีนกว่า 30 คน ในจำนวนนี้มีทั้งระดับรองนายกเทศมนตรี ผู้บริหารเขตในตัวเมืองใหญ่ และสมาชิกของคณะกรรมการสุขภาพ ตลอดจนถึงเจ้าหน้าที่ด้านการบริหารจัดการโรงพยาบาล สนามบิน และการท่องเที่ยว ถูกปลดหรือถูกลงโทษจากข้อกล่าวหาบกพร่องล้มเหลวในการรับมืออย่างถูกต้องเหมาะสมกับการระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุด
ในอีกด้านหนึ่ง คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนประกาศเมื่อวันจันทร์ (9 ส.ค.) ว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 125 คน โดยเป็นผู้ที่ติดเชื้อภายในประเทศจำนวน 94 คน ตัวเลขนี้สูงขึ้นมาวันก่อนหน้าซึ่งพบเคสใหม่รวม 96 ราย ซึ่งเป็นการติดเชื้อภายในประเทศ 81 ราย นอกนั้นเป็นผู้เดินทางจากต่างประเทศ
การระบาดในจีนระลอกล่าสุดคราวนี้เชื่อมโยงกับสนามบินในเมืองหนานจิง ที่อยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศ โดยพบไวรัสสายพันธุ์เดลตาระบาดในหมู่พนักงานของสนามบินหลายคน จากนั้นก็แพร่อย่างรวดเร็วไปทั่วประเทศ จากมณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางภาคใต้ไปถึงเขตปกครองตนเองมองโกเลียใน ทางด้านเหนือสุด
ถึงแม้จำนวนรวมของผู้ติดเชื้อไม่มากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ แต่จากยุทธศาสตร์ของทางการจีนซึ่งมุ่งกำจัดกวาดล้างเชื้อไวรัสให้หมดสิ้น จึงส่งผลให้มีการฟื้นมาตรการจำกัดการเดินทาง ล็อกดาวน์ชุมชน เป็นต้นว่าปิดเมืองจางเจียเจี้ย ที่มีประชากร 1.5 ล้านคน ตลอดจนสั่งตรวจหาเชื้อจากประชาชนทั่วทั้งเมืองอู่ฮั่น ซึ่งมีประชากรมากกว่า 11 ล้านคน
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีนรายงานว่า พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของเมืองอู่ฮั่น แถลงในวันอาทิตย์ (8) ว่า พวกเขาเสร็จสิ้นการตรวจหาเชื้อทั่วทั้งเมืองแล้วหลังเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันอังคาร (3) โดยผลลัพธ์ที่ออกมาจนถึงวันเสาร์ (7) พบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แบบติดต่อในท้องถิ่นรวม 37 ราย และพบผู้เป็นพาหะของโรคแต่ไม่แสดงอาการโดยติดต่อมาจากในท้องถิ่น 41 ราย
ส่วนที่สหรัฐฯ ซึ่งก็กำลังถูกเล่นงานหนักจากไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลตา โดยทำให้ยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเพิ่มขึ้นถึง 118,000 คน สูงสุดนับจากเดือนกุมภาพันธ์ ซ้ำยอดผู้เสียชีวิตในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมายังพุ่งขึ้นถึง 89% สวนทางกับทั่วโลกที่ตัวเลขนี้ลดลงเล็กน้อย นอกจากนั้น โรงพยาบาลเด็กบางแห่ง เช่น ในรัฐฟลอริดาต้องรับภาระหนักขึ้นจากผู้ป่วยเด็กที่ติดโควิดกันมากขึ้น
นพ.ฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institutes of Health หรือเอ็นไอเอช) หน่วยงานสำคัญที่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งรับผิดชอบเรื่องการวิจัยทางชีวเวช และสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์รายการ “ดีส วีก” ทางเครือข่ายทีวีเอบีซีเมื่อวันอาทิตย์ (8) ว่า อเมริกากำลังพ่ายแพ้ในการควบคุมการระบาด ซึ่งหากทางการสามารถโน้มน้าวให้ประชาชนฉีดวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประเทศคงไม่ต้องเผชิญสถานการณ์แบบที่เป็นอยู่นี้
วันเดียวกันนั้น นพ.แอนโทนี ฟาวซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อและที่ปรึกษาใหญ่ด้านสุขภาพของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แสดงความหวังว่า สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (เอฟดีเอ) จะอนุมัติให้ใช้วัคซีนสำคัญหลายตัวแบบสมบูรณ์ โดยอย่างเร็วที่สุดภายในเดือนนี้ ซึ่งอาจทำให้ประชาชนที่ยังไม่มั่นใจกล้าฉีดวัคซีนมากขึ้น ทั้งนี้ปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังอนุมัติให้ใช้วัคซีนแบบฉุกเฉินเท่านั้นสำหรับวัคซีน 3 ตัว ได้แก่ ของไฟเซอร์/ไบออนเทค ของโมเดอร์นา และของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน
นอกจากนั้น ฟาวซีสำทับว่า ความล้มเหลวในการควบคุมเดลตาจะเพิ่มความเสี่ยงเกิดไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่อาจสร้างปัญหาได้มากกว่าเดลตา
ขณะเดียวกัน คอลลินส์ยังเตือนว่า ถ้าไม่บังคับให้เด็กหลายล้านคนที่กำลังจะกลับเข้าเรียนในโรงเรียนเร็วๆ นี้สวมหน้ากากป้องกัน ไวรัสอาจระบาดกว้างขวางขึ้น และโรงเรียนต้องกลับไปสอนระบบออนไลน์
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (ซีดีซี) ทวิตเตือนเช่นกันว่า แม้แต่เด็กที่ไม่แสดงอาการยังสามารถแพร่โควิดได้ ดังนั้น เด็กอายุ 2 ปีขึ้นไปจึงควรสวมหน้ากากขณะอยู่ในอาคาร ซึ่งรวมถึงโรงเรียน
ทว่า ที่ฟลอริดา หนึ่งในรัฐที่เดลตาระบาดหนักที่สุด รอน ดีแซนทิส ผู้ว่าการรัฐสังกัดพรรครีพับลิกัน กลับออกคำสั่งห้ามโรงเรียนของรัฐ ตลอดจนถึงภาคธุรกิจ และหน่วยงานรัฐ บังคับการสวมหน้ากาก โดยอ้างว่า เพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติและปกป้องความเป็นส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม ในสภาพที่โรงพยาบาลหลายแห่งในรัฐนี้มีคนไข้ล้นอย่างรวดเร็ว โรงเรียนบางแห่งออกมาประกาศว่า จะฝ่าฝืนคำสั่งของดีแซนทิส
นอกจากนั้น เมื่อวันอาทิตย์ แคทลีน วิลเลียมส์ ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ ในไมอามี ซึ่งอยู่ในรัฐฟลอริดา เผยแพร่คำวินิจฉัยเบื้องต้นอนุญาตให้บริษัทดำเนินการเรือสำราญ นอร์วีเจียน ครูซ ไลน์ โฮลดิงส์ สามารถบังคับให้ผู้โดยสารเรือสำราญต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนโควิดก่อนขึ้นเรือ และเห็นด้วยกับนอร์วีเจียนว่า คำสั่งแบน “พาสปอร์ตวัคซีน” ที่ดีแซนทิสลงนามบังคับใช้เป็นกฎหมายในเดือนพฤษภาคม เป็นอันตรายต่อสุขภาพของประชาชน อีกทั้งยังเข้าข่ายละเมิดสิทธิของบริษัทนอร์เวย์แห่งนี้
ทั้งนี้ เพื่อให้กลับมาให้บริการได้ นอร์วีเจียนต้องรับรองกับซีดีซีว่า ผู้โดยสารอย่างน้อย 95% ฉีดวัคซีนแล้ว
คำวินิจฉัยนี้มีขึ้นขณะที่ธุรกิจขนาดใหญ่และหน่วยงานรัฐบางแห่งยกระดับการรับมือโควิดด้วยการกำหนดให้พนักงานต้องฉีดวัคซีน นำไปสู่การฟ้องร้องของกลุ่มที่ยังสงสัยในประสิทธิภาพของวัคซีนและกลุ่มสนับสนุนเสรีภาพพลเมืองบางแห่ง
(ที่มา : เอพี, เอเอฟพี, รอยเตอร์)