นิวยอร์กซิตีกลายเป็นเมืองหลักแห่งแรกของสหรัฐฯ ที่บังคับแสดงหลักฐานพิสูจน์ผ่านการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับเข้าไปในร้านอาหาร สถานออกกำลังกายและธุรกิจอื่นๆ จากคำแถลงของนายกเทศมนตรีบิล เดอ บราซิโอ ในวันอังคาร (3 ส.ค.) ขณะที่ประเทศแห่งนี้กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของตัวกลายพันธุ์เดลตา
ด้วยวัคซีนสามารถเข้าถึงได้ในวงกว้าง บรรดาผู้นำทางการเมืองทั้งหลายจึงเลือกหนทางแห่งการฉีดวัคซีนและสวมหน้ากากสำหรับต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ระลอกปัจจุบัน แทนการออกคำสั่งปิดธุรกิจและบังคับประชาชนชาวเมริกันหยุดอยู่บ้านดังเช่นปีที่แล้ว
รัฐบาลกลางสหรัฐฯ และรัฐต่างๆ หลายแห่ง เช่นเดียวกับโรงพยาบาลและมหาวิทยาลัยบางแห่ง ได้บังคับลูกจ้างฉีดวัคซีน และในวันอังคาร (3 ส.ค.) ไทสัน ฟู้ดส์ กลายเป็นหนึ่งในนายจ้างเอกชนรายใหญ่ที่สุดที่บังคับพนักงานทุกคนฉีดวัคซีนเพื่อต่อสู้กับไวรัสที่คร่าชีวิตผู้คนในประเทศแห่งนี้ไปแล้วกว่า 600,000 ราย
นโยบายของเมืองนิวยอร์กซิตี คือ กำหนดให้ประชาชนแสดงเอกสารพิสูจน์ว่าฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 กันยายนเป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดหมายว่ามันจะถูกต่อต้านอย่างแข็งขัน ดังเช่นเมื่อครั้งออกคำสั่งบังคับสวมหน้ากากและหยุดอยู่บ้านเมื่อปีที่แล้ว
ในฝรั่งเศส การกำหนดข้อบังคับแสดงบัตรรับรองการฉีดวัคซีนของรัฐบาล กระตุ้นให้เกิดการประท้วงใหญ่ และบ่อยครั้งเลี้ยวเข้าสู่ความรุนแรง จนตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตาเข้าสลายการชุมนุม
พาสปอร์ตวัคซีนของรัฐบาลเป็นที่ถกเถียงกันหนักหน่วงในหมู่ประชาชนชาวสหรัฐฯ โดยเฉพาะในบรรดากลุ่มคนหัวอนุรักษนิยม "มันถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องมองวัคซีนว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างแท้จริง สำหรับการมีชีวิตที่ดี สมบูรณ์และแข็งแรง" เดอ บลาซิโอ จากพรรคเดโมแครตกล่าวระหว่างแถลงข่าว
จากข้อมูลของเมือง พบว่า จนถึงตอนนี้มีชาวนิวยอร์กราวๆ 60% ที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้วอย่างน้อย 1 เข็ม แต่ในบางพื้นที่ ในนั้นรวมถึงชุมชนคนยากจนขนาดใหญ่และประชาคมคนผิวสี ยังมีอัตราการฉีดวัคซีนในระดับต่ำมาก
คำแถลงของเมืองนิวยอร์ก มีขึ้นในขณะที่เคสผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มสูุงขึ้นทั่วประเทศ โดยที่รัฐฟลอริดาและลุยเซียนากลายเป็นจุดล่อแหลมล่าสุด โรงพยาบาลต่างๆ กำลังเข้าสู่ภาวะตึงเครียด
ทั้งฟลอริดาและลุยเซียนา ต่างรายงานมีจำนวนคนไข้โควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสูงที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด และแพทย์คนหนึ่งถึงขั้นเตือนว่ามันเป็นวันที่มืดมิดที่สุดเท่าที่เคยมีมา
จนถึงวันอังคาร (3 ส.ค.) มีคนไข้มากกว่า 11,300 คนที่เข้ารักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ ในรัฐฟลอริดา ทำให้ฟลอริดากลายเป็นรัฐที่กำลังเผชิญการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เลวร้ายที่สุดในสหรัฐฯ รัฐแห่งนี้มีคนไข้โควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 4 ของคนไข้โควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวตามโรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศ
แมรี เมย์ฮิว ประธานสมาคมโรงพยาบาลแห่งฟลอริดา ระบุว่า การแพร่ระบาดระลอกล่าสุด ส่งผลให้จำนวนคนไข้โควิด-19 เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นจาก 2,000 คนเป็น 10,000 คน ภายในเวลาไม่ถึง 30 วัน แม้ตัวเลขผู้เสียชีวิตยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าจุดพีกสุดก็ตาม
(ที่มา : รอยเตอร์)