เอเจนซีส์ - ชาวออสซี่นับพันชุมนุมประท้วงและมีการปะทะกับตำรวจในหลายเมือง เช่น ซิดนีย์และเมลเบิร์น เนื่องจากไม่พอใจคำสั่งล็อกดาวน์ ขณะที่หลายประเทศในยุโรปวุ่นวายไม่แพ้กัน เช่น ที่ฝรั่งเศสมีคนกว่าแสนประท้วงต่อต้านมาตรการกระตุ้นให้คนออกไปฉีดวัคซีน
ตำรวจซิดนีย์สั่งปรับคนนับร้อย และตั้งข้อหาอีกหลายสิบคนหลังผู้ประท้วงต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ฝ่าฝืนคำสั่งกักตัวออกไปเดินขบวนและปะทะกับตำรวจเมื่อวันเสาร์ (24 ก.ค.)
นายกรัฐมนตรีสก็อตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลีย กล่าวในวันอาทิตย์ (25 ก.ค.) ว่าการที่คนนับพันละเมิดมาตรการป้องกันไวรัสออกไปประท้วงเป็นการกระทำที่ “เห็นแก่ตัวและทำร้ายตัวเอง” อีกทั้งยังไร้ประโยชน์เพราะไม่ได้ทำให้มาตรการล็อกดาวน์ยุติลงในเร็ววัน
ด้านเกลดิส เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาธ์เวลส์ กล่าวว่า การประท้วงดังกล่าว “น่ารังเกียจ” และไม่คำนึงถึงคนอื่นๆ
ขณะนี้เจ้าหน้าที่สืบสวนกำลังตรวจสอบจากโซเชียลมีเดียและภาพจากกล้องวงจรปิด รวมทั้งกล้องติดตัวตำรวจเพื่อระบุและนำตัวผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งกักตัวอยู่บ้านที่ล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 5 มาลงโทษ
ตำรวจแถลงเมื่อวันอาทิตย์ว่า ได้สั่งปรับผู้กระทำผิดไปแล้ว 510 คนในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการประท้วงในวันเสาร์ และอย่างน้อย 57 คนถูกตั้งข้อหาก่อความไม่สงบ ซึ่งรวมถึง 2 คนที่ทำร้ายม้าของตำรวจ
เดวิด เอลเลียต รัฐมนตรีกระทรวงตำรวจและบริการฉุกเฉินรัฐนิวเซาธ์เวลส์ วิจารณ์ว่า ซิดนีย์ไม่มีภูมิต้านทานคนโง่เขลา
แดเนียล แอนดรูส์ มุขมนตรีรัฐวิกตอเรียที่มีการประท้วงมาตรการล็อกดาวน์ในเมืองเมลเบิร์นเช่นเดียวกัน เตือนว่า ไม่มีวัคซีนป้องกันความเห็นแก่ตัว
ทั้งนี้ ซิดนีย์กำลังพยายามอย่างหนักในการควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตาที่เริ่มต้นขึ้นในย่านบอนดีเมื่อเดือนที่แล้ว ขณะที่โครงการฉีดวัคซีนล่าช้า และประชาชนบางส่วนยังละเมิดคำสั่งกักตัวอยู่บ้าน
ขณะนี้มีชาวออสเตรเลียราวครึ่งหนึ่งของทั้งหมด 25 ล้านคนอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ในเมืองและรัฐต่างๆ และประชาชนเริ่มไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้นเรื่องโครงการฉีดวัคซีนที่ล่าสุดมีผู้ที่ได้ฉีดครบ 2 เข็มไม่ถึง 13% ของประชากรทั้งหมดนับจากที่เริ่มฉีดตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
ในวันอาทิตย์ รัฐนิวเซาธ์เวลส์รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ 141 คน และเสียชีวิต 2 คน หนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงวัย 30 ปีที่ไม่มีโรคหรือสภาวะที่เป็นมาก่อน
เหตุการณ์การประท้วงที่น่าชิงชังในซิดนีย์และเมลเบิร์น รวมถึงอะดีเลดและบริสเบนนั้น ยังเกิดขึ้นในหลายประเทศของยุโรปเช่นเดียวกัน
ที่ฝรั่งเศส ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาและเครื่องฉีดน้ำเพื่อรับมือผู้ประท้วง หลังจากคาดว่า มีผู้ออกไปชุมนุมทั่วประเทศถึง 160,000 คนเมื่อวันเสาร์ เพื่อต่อต้าน “บัตรผ่านสุขภาพ” ของประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ซึ่งจะกำหนดให้ผู้ที่ต้องการเข้าใช้บริการร้านอาหารและสถานที่สาธารณะต้องแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนหรือผลการตรวจโควิดที่เป็นลบ
ผู้ประท้วงตะโกนเรียกร้อง “เสรีภาพ” และชูป้ายประณามมาครงว่าเป็นเผด็จการ กล่าวหาบริษัทยายักษ์ใหญ่จำกัดเสรีภาพ และต่อต้านบัตรผ่านน่าละอาย ทั้งนี้ ช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้านี้มีชาวฝรั่งเศสกว่า 110,000 คนประท้วงใน 130 จุดทั่วประเทศ
ขณะนี้รัฐสภาฝรั่งเศสกำลังพิจารณาร่างกฎหมายบังคับฉีดวัคซีนให้ประชาชนบางกลุ่มอาชีพ ขณะที่บัตรผ่านสุขภาพจะจำกัดชีวิตทางสังคมอย่างมากโดยจะมีผลบังคับใช้นับจากปลายเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนการยกระดับมาตรการสกัดไวรัสของมาครงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการ กล่าวคือ ประชาชน 48% ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม จากข้อมูลจนถึงวันศุกร์ (23 ก.ค.) หรือเพิ่มขึ้น 8% นับจากวันที่ 10 ที่ผ่านมา
ที่อิตาลี มีการชุมนุมในโรมประท้วง “ใบรับรองสุขภาพ” สำหรับการกินอาหารในร้านและความบันเทิงในอาคาร ขณะเดียวกัน ชาวกรีซราว 5,000 คนประท้วงในกรุงเอเธนส์ โดยมีการชูป้าย “อย่าแตะต้องลูกหลานของเรา”