เอพี - ยอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมยุโรปขยับขึ้นไปเป็นมากกว่า 180 ราย ในวันอาทิตย์ (18 ก.ค.) หลังน้ำลดและเจ้าหน้าที่กู้ภัยขุดลึกลงไปใต้ซากปรักหักพัง ขณะเดียวกัน นักวิจัยลงระบุว่า สภาพอากาศเลวร้ายมีความเชื่อมโยงอย่างแท้จริงกับภาวะโลกร้อน และจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยด่วน
ตำรวจระบุตัวเลขผู้เสียชีวิตในอาร์ไวเลอร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยรุนแรงในรัฐไรน์แลนด์-พาลาติเนต ทางตะวันตกของเยอรมนีที่ จำนวน 110 คน และแสดงความกังวลว่าอาจเพิ่มขึ้นอีก ส่วนที่รัฐนอร์ธ ไรน์-เวสต์ฟาเลีย ซึ่งเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดของเยอรมนี มีผู้ได้รับการยืนยันเสียชีวิต 45 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 4 คน ส่วนที่เบลเยียมมีรายงานผู้เสียชีวิต 27 คน
นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล เตรียมเดินทางไปยังหมู่บ้านชูด ใกล้อาร์ไวเลอร์ช่วงเย็นวันอาทิตย์ หลังจากประธานาธิบดีล่วงหน้าไปก่อนแล้วเมื่อวันเสาร์ (17 ก.ค.) และระบุว่า จำเป็นต้องให้การสนับสนุนในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังมีน้ำท่วมเมื่อคืนวันเสาร์บริเวณชายแดนเยอรมนี-เช็ก และทางตะวันออกเฉียงใต้ของเยอรมมี รวมทั้งบริเวณชายแดนในออสเตรีย
ทางการเยอรมนียังอพยพประชาชน 65 คนออกจากแบร์ชเทสกาเดน หลังจากน้ำในแม่น้ำอาเคอ เอ่อล้นตลิ่ง และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 คน
เมืองฮาแลนในออสเตรียเผชิญน้ำท่วมฉับพลันเช่นเดียวกันเมื่อคืนวันเสาร์ แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต นายกรัฐมนตรีเซบาสเตียน เคิร์ซ ทวิตว่า พายุและฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้หลายพื้นที่ในออสเตรียเสียหายอย่างมาก
ขณะเดียวกัน นักวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศระบุว่า สภาพอากาศเลวร้ายมีความเชื่อมโยงอย่างแท้จริงกับภาวะโลกร้อน และจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยด่วน
วิม เทียรี ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยบรัสเซลส์ กล่าวเมื่อวันศุกร์ (16 ก.ค.) ว่ามีความเชื่อมโยงระหว่างปริมาณฝนที่เข้าขั้นวิกฤตกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
สเตฟาน แรมสตอร์ฟ ศาสตราจารย์สมุทรศาสตร์ฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยพ็อตส์ดัม ขานรับว่า ปรากฏการณ์บางอย่างสุดโต่งในระดับที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีปัญหาโลกร้อน ซึ่งหมายถึงสภาพภูมิอากาศที่ร้อนสุดขีดในอเมริกาและแคนาดา เซอร์เดวิด คิง ประธานกลุ่มที่ปรึกษาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ สำทับว่า วิกฤตสภาพอากาศสุดโต่งจะเกิดบ่อยขึ้น
ดีเดอริก ซัมซม ประธานกรรมาธิการของคณะกรรมาธิการยุโรป ที่อยู่เบื้องหลังข้อเสนอจัดสรรงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์และบังคับให้อุตสาหกรรมต่างๆ ปฏิรูปอย่างจริงจังเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในสหภาพยุโรป (อียู) 55% ภายในทศวรรษนี้ ได้กล่าวว่า ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นขณะนี้ถือเป็นการเตือนภัย
ทั้งนี้ นักวิจัยด้านสภาพภูมิอากาศระบุ 2 ปัจจัยที่เป็นสาเหตุภัยพิบัติในสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัจจัยแรกคือ อุณหภูมิที่สูงขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส จะทำให้ความชื้นในอากาศเพิ่มขึ้น 7% และกักเก็บน้ำได้ยาวนานขึ้นทำให้เกิดภาวะฝนแล้ง แต่เมื่อน้ำที่ถูกกักเก็บนั้นถูกปล่อยลงมาก็จะทำให้เกิดฝนตกหนักมาก
อีกปัจจัยหนึ่งคือ แนวโน้มที่พายุจะปกคลุมอยู่ในพื้นที่หนึ่งนานกว่าปกติจึงทำให้ปริมาณฝนเพิ่มขึ้นในพื้นที่กระจุกเล็กๆ ของโลก ซึ่งนักวิจัยระบุว่า เป็นเพราะภาวะโลกร้อนเช่นเดียวกัน โดยกระแสลมแรงจากลมกรดที่อยู่เหนือพื้นดินเกือบ 10 กิโลเมตรเป็นตัวบ่งชี้สภาพอากาศเหนือยุโรป และอาจแรงขึ้นตามอุณหภูมิที่แตกต่างระหว่างเขตร้อนกับอาร์กติก
ขณะที่ยุโรปอุ่นขึ้น แต่พื้นที่แถบสแกนดิเนเวียกำลังเผชิญคลื่นความร้อนที่ผิดปกติ ลมกรดจึงอ่อนกำลังลงทำให้เส้นทางคดเคี้ยวหยุดลงซึ่งอาจนานหลายวัน
เทียรี เสริมว่า ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นชัดเจนในแคนาดาเช่นเดียวกัน โดยทำให้เกิดปรากฏการณ์โดมความร้อนที่อุณหภูมิพุ่งขึ้นถึงระดับ 50 องศาเซลเซียส
นอกจากนั้น แม้สามารถจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมากในช่วงทศวรรษที่กำลังจะมาถึง แต่ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ยังค้างอยู่ในบรรยากาศสูงมาก ซึ่งหมายความว่า มีแนวโน้มมากขึ้นที่โลกจะต้องเผชิญสภาพอากาศเลวร้ายรุนแรง ซึ่งเอิร์นสต์ รอนช์ หัวหน้านักธรณีฟิสิกส์ของบริษัทประกันภัย มิวนิก รี เตือนว่า จะเพิ่มความเสี่ยงในการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินสำหรับผู้ที่ไม่เตรียมพร้อมรับมือ