สหรัฐฯ รับปากจะส่งวัคซีนโมเดอร์นาจำนวน 4 ล้านโดสไปยังอินโดนีเซียโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อช่วยยับยั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในแดนอิเหนาที่กำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต
เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ได้โทรศัพท์พูดคุยกับ เร็ตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียเมื่อวานนี้ (2 ก.ค.) และรับปากว่าสหรัฐฯ จะจัดสรรวัคซีนชนิด mRNA ของบริษัท โมเดอร์นา อิงค์ ให้กับอินโดนีเซีย โดยผ่านโครงการกระจายวัคซีน COVAX “โดยเร็วที่สุด”
ซัลลิแวน ระบุด้วยว่า การบริจาควัคซีนช่วยเหลือจาการ์ตาในครั้งนี้ “แสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ พร้อมที่จะให้การสนับสนุนประชาชนชาวอินโดนีเซียในการต่อสู้โควิด-19 เพื่อชะลอยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น”
เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนยังได้หารือแผนการของสหรัฐฯ ที่จะมอบความช่วยเหลือต่ออินโดนีเซีย เพื่อตอบสนองวิกฤตโรคระบาดคครั้งนี้อย่างครอบคลุม
อินโดนีเซียซึ่งมีประชากรมากเป็นอันดับ 4 ของโลกกำลังเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงเป็นอันดับต้นๆ ในเอเชีย โดยมียอดผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งทุบสถิติใหม่ในช่วง 8 จาก 12 วันที่ผ่านมา รวมถึงในวันศุกร์ (2) ที่มีผู้ป่วยใหม่ 25,830 คน เสียชีวิต 539 คน
ที่ผ่านมารัฐบาลอิเหนาพึ่งพาวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัท ซิโนแวค ไบโอเทค ของจีนเป็นหลัก แต่ก็เริ่มที่จะมองหาวัคซีนทางเลือกอื่นๆ เข้ามาเสริม
เพนนี เค. ลูกิโต หัวหน้าสำนักงานอาหารและยาแห่งอินโดนีเซีย ยืนยันวานนี้ (2) ว่า ทางสำนักงานได้อนุมัติรับรองวัคซีนโมเดอร์นาสำหรับใช้งานในกรณีฉุกเฉินแล้ว
เป็นที่รู้กันดีว่า ทั้งสหรัฐฯ และจีนต่างใช้ยุทธศาสตร์ “วัคซีนการทูต” (vaccine diplomacy) เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบด้านภูมิรัฐศาสตร์โลก แม้ฝ่ายอเมริกาจะอ้างว่าบริจาควัคซีนเพื่อ “ช่วยชีวิตคน” และไม่ได้หวังผลทางการเมืองเลยก็ตาม
รัฐบาลประธานาธิบดี โจ ไบเดน ให้คำมั่นเมื่อเดือนที่แล้วว่าจะแบ่งปันวัคซีนจำนวน 80 ล้านโดสที่ผลิตในสหรัฐฯ ให้กับต่างชาติ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเข้าถึงวัคซีนที่ไม่เท่าเทียมระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับกลุ่มประเทศยากจน
ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่ได้รับคำมั่นสัญญาบริจาควัคซีนจากสหรัฐฯ แล้วเช่นกัน ได้แก่ ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, ไทย, ลาว, ปาปัวนิวกินี และกัมพูชา
สหรัฐฯ ยังมีแผนจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคจำนวน 500 ล้านโดส เพื่อนำไปแจกจ่ายให้แก่กลุ่มชาติสันนิบาตอาหรับ และกลุ่ม 92 ประเทศที่มีรายได้น้อย
ที่มา: รอยเตอร์