โรงพยาบาล ฮิวสตัน เมโธดิสต์ (Houston Methodist Hospital) ในรัฐเทกซัสเผย มีเจ้าหน้าที่กว่า 150 คนถูกไล่ออกหรือสมัครใจลาออกเอง เนื่องจากปฏิเสธเงื่อนไขของทางโรงพยาบาลที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อที่จะปฏิบัติงานต่อไปได้
ทางโรงพยาบาลได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทราบว่าพวกเขาจะต้องฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ภายในวันที่ 7 มิ.ย. มิเช่นนั้นจะต้องถูกพักงานเป็นเวลา 2 สัปดาห์
เกล สมิธ โฆษกหญิงของโรงพยาบาลออกมาชี้แจงวานนี้ (22 มิ.ย.) ว่า ลูกจ้าง 153 คน “เลือกที่จะลาออกเองภายในช่วง 2 สัปดาห์ที่ถูกพักงาน หรือไม่ก็ถูกยกเลิกสัญญาจ้างในวันนี้”
“ส่วนลูกจ้างที่ยอมรับเงื่อนไขระหว่างโดนพักงาน ได้รับอนุญาตให้กลับมาทำงานได้หลังจากที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้ว 1 วัน”
หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า มีลูกจ้างของโรงพยาบาลแห่งนี้ถูกสั่งพักงานไปเกือบ 200 คน ขณะที่หลายคนออกมาประท้วงแสดงความไม่พอใจที่โรงพยาบาลบังคับฉีดวัคซีน
เมื่อเดือน พ.ค. ลูกจ้าง 117 คนได้ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโรงพยาบาลฮิวสตันเมโธดิสต์ โดยกล่าวหาทางโรงพยาบาลว่า “บังคับให้ลูกจ้างต้องเป็นหนูทดลองวัคซีน เพื่อที่จะได้รับการว่าจ้างต่อไป”
อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษา ลิน ฮิวจ์ ไม่รับฟ้องคดีนี้ โดยให้เหตุผลว่าการฉีดวัคซีนไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย และกฎหมายรัฐเทกซัสให้การปกป้องเฉพาะในกรณีที่ลูกจ้างถูกนายจ้างบังคับให้ก่ออาชญากรรม
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พิพากษายังตำหนิ เจนนิเฟอร์ บริดเจส หนึ่งในพยาบาลที่เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง เนื่องจากเธอเปรียบเทียบว่าการถูกขู่ไล่ออกหากไม่ยอมฉีดวัคซีนนั้นไม่ต่างอะไรกับการถูกบังคับให้ต้องเป็นหนูทดลองทางการแพทย์ในเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวยิว (Holocaust)
“การนำข้อกำหนดเรื่องการฉีดวัคซีนไปเปรียบเทียบกับการทดลองทางการแพทย์ในค่ายกักกัน คือสิ่งที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง” ผู้พิพากษา ฮิวจ์ส ระบุ
บริดเจส วัย 39 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกจ้างที่ถูกไล่ออก บอกกับเอเอฟพีวานนี้ (22) ว่า การต่อสู้ทางกฎหมายของพวกเธอกำลังได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ตอนแรกมีคนเข้าร่วมกับเราแค่ 117 คน แต่เวลานี้กำลังจะมีมาเพิ่มอีก 70 คน เราต้องการให้โรงพยาบาลเมโธดิสต์รับผิดชอบกับการกระทำของพวกเขา เราต้องการให้สาธารณชนเห็นว่าพวกเราไม่สมควรถูกเลิกจ้าง และโรงพยาบาลเมโธดิสต์ไม่ได้ให้โอกาสเราในการยินยอมพร้อมใจ หรือเอ่ยถึงผลในแง่ลบที่อาจจะเกิดตามมา”
พยาบาลรายนี้อ้างว่า เธอเลือกที่จะไม่ฉีดวัคซีนเพราะคิดว่ามีความเสี่ยงสูงเกินไป และเธอเคยเห็นเพื่อนร่วมงานหรือคนไข้ที่มีอาการข้างเคียง ตั้งแต่ปวดศีรษะรุนแรง, ลิ่มเลือดอุดตัน, พิการ หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตมาแล้ว
“ด้วยวัยของฉัน ประโยชน์ที่จะได้รับจากการฉีดวัคซีนไม่มากเท่าไหร่ เพราะถึงอย่างไรเสียโอกาสที่ฉันจะเสียชีวิตจากการติดไวรัสก็แค่ 1%” เธอกล่าว
จากข้อมูลในวันอังคาร (22) พบว่า สหรัฐฯ มีประชากรวัยผู้ใหญ่ราว 65.4% ที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์, โมเดอร์นา หรือจอห์นสันแอนด์จอห์นสันแล้วอย่างน้อย 1 โดส ขณะที่ผลสำรวจพบว่า บุคลากรด้านสาธารณสุขยังคงเป็นกลุ่มประชากรที่มีความลังเลสงสัยในประสิทธิภาพของวัคซีนมากที่สุด
ที่มา: เอเอฟพี