คณะกรรมการชุดหนึ่งของรัฐบาลอินเดีย ซึ่งมีหน้าที่ศึกษาผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด-19 เปิดเผยเมื่อวันอังคาร (15 มิ.ย.) ว่า ชายวัย 68 ปี เสียชีวิตสืบเนื่องจากการแพ้ชนิดรุนแรง (anaphylaxis) หลังฉีดวัคซีน ถือเป็นการเสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับอาการไม่พึงประสงค์จากวัคซีนรายแรกของประเทศ
รายงานของคณะกรรมการเฝ้าระวังอาการภายหลังได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (AEFI) แห่งชาติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุขอินเดีย เปิดเผยว่า ชายคนดังกล่าวได้รับวัคซีนโควิชิลด์ แบรนด์ท้องถิ่นของวัคซีนออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า ผลิตโดยสถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย เมื่อวันที่ 8 มีนาคม และให้คำจำกัดความเคสนี้ว่าเป็น “ปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์วัคซีน”
นายแพทย์เอ็นเค อาโรรา ประธานคณะกรรมการ AEFI ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอินเดีย ทูเดย์ ว่า “มันเป็นการเสียชีวิตรายแรก ที่สาเหตุการเสียชีวิตหลังการสืบสวน พบว่าเป็นอาการแพ้รุนแรงหลังฉีดวัคซีน”
ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าชายคนดังกล่าวได้รับวัคซีนไปกี่โดส ขณะที่อาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) เป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงซึ่งเกิดขึ้นแบบฉับพลัน และอาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลของสำนักงานสาธารณสุขแห่งชาติ (NHS) สหราชอาณาจักร
รายงานดังกล่าวของทาง AEFI เป็นการตรวจสอบเคสต้องสงสัย 31 เคสที่ได้รับรายงานระหว่างวันที่ 5 กุมภาพันธ์ถึง 31 มีนาคม ในนั้นมีเพียง 3 เคสที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์วัคซีน 18 เคสไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน และ 7 เคสยังไม่ได้ข้อสรุป ส่วนที่เหลือ 1 เคสเกี่ยวข้องกับความเครียดและอีก 2 เคสไม่สามารถระบุได้
ในอีก 2 เคสของอาการที่กี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์วัคซีน พบว่า ทั้ง 2 รายถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นั้นอาการก็ฟื้นตัวเป็นปกติแล้ว
คณะกรรมการ AEFI บอกว่า ปฏิกิริยาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัคซีนเป็นปฏิกิริยาที่คาดหมายไว้แล้ว ที่อาจเป็นคุณลักษณะของวัคซีนบนพื้นฐานของหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน โดยปฏิกิริยาต่างๆ นานานั้นมีทั้งอาการแพ้ทั่วไปและอาการแพ้รุนแรง เช่นเดียวกับอาการอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ทางคณะกรรมการยืนยันว่าประโยชน์ของวัคซีนเหนือกว่าอย่างมากมายมหาศาลหากเทียบกับความเสี่ยงอันตรายเล็กๆ น้อยๆ
จนถึงตอนนี้ อินเดียฉีดวัคซีนโควิด-19 แก่ประชาชนไปแล้ว 259 ล้านโดส ทว่า มันคิดเป็นไม่ถึง 5% ของจำนวนประชากรที่จำเป็นต้องได้รับวัคซีน รัฐบาลบอกว่ามีแผนฉีดวัคซีนประชากรวัยผู้ใหญ่ทั้งหมดให้ได้ในช่วงสิ้นปีนี้ แต่พวกเขาจำเป็นต้องยกระดับการฉีดวัคซีนขึ้นอย่างมากหากหวังประสบความสำเร็จตามเป้าหมายดังกล่าว
(ที่มา : อินดิเพนเดนท์)