เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียจับกุมผู้ต้องสงสัย 4 ราย ตามคำกล่าวหาขโมยวัคซีนโควิด-19 ที่จัดสรรไว้สำหรับผู้ต้องขัง แล้วนำวัคซีนเหล่านั้นไปขายให้แก่ประชาชนทั่วไปในตลาดมืด
ทางการเปิดเผยเมื่อวันอังคาร(25พ.ค.) ว่าพวกผู้ต้องสงสัยนำวัคซีนซิโนแวคที่ผลิตโดยจีนมากกว่า 1,000 โดส จากโควตาที่จัดสรรให้สถานคุมขัง ไปเสนอขายแก่ผู้ซื้อในกรุงจาการ์ตาและเมืองเมดาน ในจังหวัดสุมาตราเหนือ ในราคาโดสละ 250,000 รูเปียห์หรือ 17 ดอลลาร์(ราว 530 บาท)
ตำรวจระบุในบรรดาผู้ถูกจับกุมนั้น มีแพทย์ประจำสถานที่ต้องขังรายหนึ่งในเมืองเมดานและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่นรายหนึ่งรวมอยู่ด้วย ซึ่งหากพบว่ามีความผิดจริง พวกเขาอาจติดคุกตลอดชีวิตภายใต้กฎหมายต่อต้านคอรัปชันของอินโดนีเซีย
"หนึ่งในผู้ต้องสงสัยนำวัคซีนไปยังจาการ์ตา และที่นี่เองเราสามารถเปิดโปงสถานที่ที่ให้บริการบางแห่ง" ฮาดี ซห์ยูดี โฆษกตำรวจสุมาตราบอกกับเอเอฟพี
อินโดนีเซีย ชาติที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักหน่วงจากวิกฤตโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ กำลังเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่แก่ประชาชนจำนวนมากจากประชากรทั้งหมดเกือบ 270 คน
แม้ทางการอินโดนีเซียฉีดวัคซีนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ประชานหลายสิบล้านคนยังคงเฝ้ารอวัคซีน เนื่องจากอุปทานที่มีอยู่อย่างจำกัดนั้น กำหนดเป้าหมายฉีดให้แก่บุคคลกรทางการแพทย์แถวหน้าเป็นลำดับแรก เช่นเดียวกับกลุ่มเสี่ยงสูงอื่นๆ ในนั้นรวมถึงพวกนักโทษที่อยู่ในเรือนจำอันแออัดยัดเยียด
ระบบเรือนจำของอินโดนีเซียขึ้นชื่อด้านสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย และกลุ่มสิทธิมนุษยชนเคยออกมาเตือนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเรือนจำทั่วประเทศ
การจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นไม่นาน ตามหลังข่าวคราวอื้อฉาวเกี่ยวกับวัคซีนอีกหนึ่งคดี ในจังหวัดสุมาตราเหนือเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา โดยคราวนั้นตำรวจพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำสนามบินเมดาน แอบเอาชุดตรวจโควิด-19 แบบแยงจมูกด้วยสำลีพันไม้ใช้แล้วทิ้ง มาใช้ซ้ำกับบรรดานักเดินทางที่มายังท่าอากาศยานกูวาลานา เป็นเวลานานหลายเดือน
รายงานข่าวจากสำนักข่าวคอมปาสของอินโดนีเซียคาดหมายว่ามีนักเดินทางมากกว่า 9,000 รายที่ตกเป็นเหยื่อของอุบายอันน่าขยะแขยงนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความพยายามสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจังหวัดสุมาตราเหนือ
เวลานี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 อย่างเป็นทางการของอินโดนีเซีย พุ่งเหนือ 1.7 ล้านคนและเสียชีวิตเกือบ 50,000 ราย
(ที่มา:รัสเซียทูเดย์/เอเอฟพี)