มีคนไข้อย่างน้อย 22 คนเสียชีวิตในวันพุธ (21 เม.ย.) ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งทางภาคตะวันตกของอินเดีย สืบเนื่องจากการจ่ายออกซิเจนในระบบเครื่องช่วยหายใจของพวกเขาเกิดการติดขัด ภายหลังแท็งก์เก็บแก๊สเกิดการรั่วไหล รัฐมนตรีสาธารณสุขแถลง ขณะที่แดนภารตะกำลังวิกฤต ยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 รายวันพุ่งทะลุ 2,000 คนเป็นครั้งแรกและเคสใหม่ก็เพิ่มขึ้นเกือบวันละ 300,000 ทำให้โรงพยาบาลทั่วประเทศเผชิญปัญหาขาดแคลนออกซิเจน
เหตุการณ์คนไข้เสียชีวิต 22 คนนี้เกิดขึ้นที่เมือง นาซิค หนึ่งในพื้นที่ซึ่งโรคโควิด-19 กำลังระบาดหนักของอินเดีย คนไข้เหล่านี้กำลังใช้อุปกรณ์เครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของนาซิค แล้วแท็งก์เก็บออกซิเจนเกิดการรั่วไหล ราเชษฐ์ โตเป รัฐมนตรีสาธารณสุขของรัฐมหาราษฎระ ซึ่งเป็นรัฐมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดของอินเดีย และเป็นที่ตั้งของเมืองดังกล่าว แถลงทางทีวี
โศกนาฏกรรมคราวนี้ เป็นการซ้ำเติมเพิ่มความทุกข์ยากให้แก่อินเดีย ประเทศที่มีประชากร 1,300 ล้านคน ซึ่งกำลังเผชิญกับการระบาดของไวรัสโคโรนาระลอก 2 ที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ ระบุว่า “รวดเร็วและรุนแรงราวพายุ” และกำลังสร้างภาระหนักให้โรงพยาบาลทั่วประเทศ
กระทรวงสาธารณสุขของอินเดียรายงานเมื่อวันพุธ (21) ว่า ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมามีผู้เสียชีวิตทำสถิติสูงสุด 2,023 คน ส่วนผู้ติดเชื้อมี 295,000 คน ใกล้เคียงกับสถิติของอเมริการะหว่างที่โควิดระบาดหนักที่นั่นในเดือนมกราคม ขณะที่โรงพยาบาลทั่วประเทศรายงานปัญหาขาดแคลนออกซิเจน
เฉพาะพวกโรงพยาบาลรัฐบาลในกรุงนิวเดลีเหลือออกซิเจนพอใช้อีกไม่เกิน 24 ชั่วโมง ซึ่งถือว่า ดีกว่าโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งที่เหลือออกซิเจนใช้ได้เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
ข่าวทางโทรทัศน์เผยให้เห็นภาพประชาชนพากันหอบหิ้วถังออกซิเจนซึ่งใช้หมดแล้ว มารอเติมอย่างแน่นขนัดที่สถานบริการเติมออกซิเจนแห่งต่างๆ ในรัฐอุตตรประเทศ อันเป็นรัฐที่มีประชากรมากที่สุดของอินเดีย ทั้งนี้ด้วยความมุ่งหมายที่จะรักษาชีวิตของญาติมิตรผู้เจ็บป่วยนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล
สถานการณ์หนักหน่วงสาหัสถึงขั้นมีบางคนพยายามที่จะปล้นชิงแท็งก์ออกซิเจนแท็งก์หนึ่ง ทำเอาเจ้าหน้าที่รับผิดชอบต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย อนิล วิช รัฐมนตรีสาธารณสุขของรัฐหรยาณา ซึ่งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศ บอกกับผู้สื่อข่าว พร้อมกับเผยว่า เขาได้สั่งตำรวจให้จัดเจ้าหน้าที่ออกมาอารักขาแท็งก์ออกซิเจนทั้งหมดที่มีอยู่แล้ว
ข้อมูลล่าสุดระบุว่า อินเดียมีผู้ติดเชื้อสะสมราว 15.6 ล้านคน สูงสุดอันดับ 2 รองจากอเมริกา และผู้เสียชีวิตสะสมมีมากกว่า 180,000 คน โดยขณะนี้หลายรัฐทั่วแดนภารตะบังคับใช้มาตรการเข้มงวดป้องกันการแพร่ระบาด เช่น นิวเดลีสั่งล็อกดาวน์ 1 สัปดาห์ตั้งแต่วันจันทร์ (19) ส่วนรัฐมหาราษฏระและรัฐอุตตรประเทศ สั่งร้านค้าที่ไม่จำเป็นปิดให้บริการ
ถึงแม้อินเดียได้ชื่อว่าเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก รวมทั้งรัฐบาลก็ได้ส่งระงับการส่งออกวัคซีนแอสตราเซเนกา เพื่อเก็บไว้ใช้ต่อสู้กับการระบาดของไวรัสโคโรนาระลอก 2 แต่เวลานี้อินเดียเพิ่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนกว่า 130 ล้านโดสเท่านั้น เพื่อเร่งรัดดำเนินการเรื่องนี้ให้รวดเร็วยิ่งขึ้น รัฐบาลจึงประกาศว่า นับจากวันที่ 1 พฤษภาคม ประชากรวัยผู้ใหญ่ทุกคนมีสิทธิ์เข้ารับการฉีดวัคซีน
ญี่ปุ่นอาจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งโตเกียวและโอซากา
ทางด้านญี่ปุ่น สถานการณ์แม้ไม่หนักหนาสาหัสเท่า และก็ไม่สดใส สถานีวิทยุและโทรทัศน์เอ็นเอชเครายงานวันพุธเช่นกันว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในโตเกียว โอซากา จังหวัดเฮียวโงะ และเกียวโต ครอบคลุมประชากรเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรทั้งประเทศ 126 ล้านคน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดระลอกใหม่
ในวันพุธ โตเกียวพบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 843 คน สูงที่สุดนับจากวันที่ 29 มกราคมซึ่งมีการประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินรอบก่อนหน้านี้ ยูริโกะ โคอิเกะ ผู้ว่าการโตเกียวเผยว่า กำลังเตรียมการเพื่อขอให้รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนับจากวันที่ 29 เดือนนี้จนถึงวันที่ 9 เดือนหน้า
ส่วนโอซากาที่พบเคสใหม่ทำสถิติสูงสุดที่ 1,351 คนเมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา และถือเป็นศูนย์กลางการระบาดระลอกที่ 4 นั้น ต้องการยกเลิกหรือเลื่อนกิจกรรมขนาดใหญ่ทั้งหมด
เฮียวโงะพบผู้ติดเชื้อใหม่ 563 คนในวันพุธ และร้องขอให้รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นเดียวกับเกียวโต โดยขณะนี้มีการบังคับใช้สถานการณ์กึ่งฉุกเฉินใน 10 จาก 47 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งรวมถึงโตเกียวและโอซากา
การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งใหม่จะเท่ากับเป็นการบังคับใช้สถานการณ์ฉุกเฉินเต็มรูปแบบครั้งที่ 3 ในญี่ปุ่นนับจากโควิด-19 ระบาดเมื่อปีที่แล้ว
รายงานข่าวนี้มีขึ้นก่อนที่โตเกียวโอลิมปิกจะเริ่มต้นในอีก 3 เดือน และท่ามกลางปัญหาความล่าช้าในการฉีดวัคซีนให้ประชาชน
ที่ยุโรป เทียร์รี เบรตัน กรรมาธิการตลาดภายในของสหภาพยุโรป ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ เลอ ฟิกาโร ของฝรั่งเศส เมื่อวันอังคาร (20) ว่า อียูคาดว่า จะมีวัคซีนเพียงพอสำหรับประชากรวัยผู้ใหญ่ 70% ภายในกลางเดือนกรกฎาคม
ยุโรปชี้ วัคซีนจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน มีประโยชน์เยอะกว่าความเสี่ยงมากมาย
วันอังคารเช่นกัน องค์การยาแห่งยุโรปแถลงว่า จากผลการศึกษาตรวจสอบ พบว่าการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (เจแอนด์เจ) อาจเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันเป็นผลข้างเคียง ทว่าเป็นเคสที่พบได้น้อยมาก และโดยรวมแล้ว วัคซีนนี้มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงนักหนา ดังนั้น จึงแนะนำให้เพิ่มคำเตือนเกี่ยวกับผลข้างเคียง ส่วนการตัดสินใจจะใช้วัคซีนตัวนี้หรือไม่และจะจำกัดการใช้ในคนบางกลุ่มหรือเปล่า ให้เป็นการตัดสินใจของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ มาตรการเหล่านี้ไม่แตกต่างอะไรนักจากที่ทางองค์การยาประกาศใช้กับวัคซีนของแอสตราเซเนกา/มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ก่อนหน้านี้
สำหรับอเมริกานั้นคาดว่า ทางการจะประกาศผลการตรวจสอบวัคซีนของเจแอนด์เจในวันศุกร์ (23) นี้
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)