ยุโรปเตรียมเผยผลการทบทวนความปลอดภัยวัคซีนโควิดของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน (เจแอนด์เจ) ในวันอังคาร (20 เม.ย.) เพื่อคลี่คลายความกังวลเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของวัคซีนซึ่งมีข้อเด่นตรงฉีดโดสเดียวอยู่นี้ กับการเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน ด้านอินเดียประกาศเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชากรวัยผู้ใหญ่ทุกคนต้นเดือนหน้าเพื่อสยบการระบาดระลอกใหม่ หลังพบผู้ติดเชื้อในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา 259,170 คน ซึ่งถือเป็นสถิติรายวันสูงสุดในโลก และเป็นวันที่ 6 ติดต่อกันที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกิน 200,000 คน ขณะที่อเมริกาแม้มีความคืบหน้าในการฉีดวัคซีน แต่หมอใหญ่ทำเนียบขาวเตือนสถานการณ์ยังล่อแหลม
องค์การยาแห่งสหภาพยุโรป (อีเอ็มเอ) มีกำหนดแถลงข่าวจากกรงอัมสเตอร์ดัมในวันอังคาร หลังทบทวนตรวจสอบกรณีผู้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ของ เจแอนด์เจ 4 คน เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันและหนึ่งในนั้นเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม อีเอ็มเอระบุเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า จำนวนผู้เกิดภาวะดังกล่าวมีน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ฉีดวัคซีนของเจแอนด์เจ 4.5 ล้านคนทั่วโลก สอดคล้องกับที่แอนโทนี ฟาวซี ที่ปรึกษาด้านวิกฤตโรคระบาดของคณะบริหารประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ กล่าวว่า ภาวะลิ่มเลือดอุดตันเป็นกรณีที่พบได้น้อยอย่างยิ่ง และเขาเชื่อว่า อเมริกาจะกลับมาอนุญาตให้ใช้วัคซีนของเจแอนด์เจ ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกัน อีกครั้งโดยมีการกำหนดข้อจำกัดหรือให้ระบุคำเตือนบางอย่าง
ความกังวลเกี่ยวกับวัคซีนของเจแอนด์เจเกิดขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้วัคซีนป้องกันโควิด-19 อีกตัวหนึ่งของ แอสตราเซเนกา/มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ก็มีรายงานพบภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้ฉีดวัคซีนจำนวนน้อยกลุ่มหนึ่ง ซึ่งอีเอ็มเออธิบายว่า เป็นผลข้างเคียงที่พบได้น้อยมาก และย้ำว่า วัคซีนนี้มีประโยชน์มากมายกว่าความเสี่ยง
บรรดาผู้นำในยุโรปต่างต้องการเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ประชาชน หลังถูกวิจารณ์รุนแรงว่าล่าช้าไม่ทันการณ์ ขณะที่ประชาชนก็ต้องการกลับสู่สถานการณ์ใช้ชีวิตตามปกติเท่าที่สามารถเป็นไปได้
ความต้องการดังกล่าวสะท้อนผ่านสโลวาเกีย หนึ่งในชาติสมาชิกสหภาพยุโรป ที่ได้เริ่มอนุญาตให้ร้านค้า พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุด สระว่ายน้ำ เปิดบริการได้อีกครั้งเมื่อวันจันทร์ (19) หลังจากล็อกดาวน์มานาน
อย่างไรก็ดี สถานการณ์กลับเป็นตรงกันข้ามสำหรับอินเดีย ซึ่งต้องเริ่มล็อกดาวน์กรุงนิวเดลีและอีกหลายพื้นที่รอบใหม่ตั้งแต่เที่ยงคืนวันจันทร์เป็นเวลา 1 สัปดาห์ นอกจากนั้นรัฐบาลยังประกาศว่า จะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชากรวัยผู้ใหญ่ทุกคนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
มาตรการล็อกดาวน์เมืองหลวงเช่นนี้ ทำให้แรงงานต่างถิ่นหลายหมื่นคนพยายามหลบหนี ซึ่งสร้างความกังวลว่า คนเหล่านี้อาจนำโควิดกลับไปแพร่ในบ้านเกิด
วันอังคาร (20) กระทรวงสาธารณสุขอินเดียรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา 259,170 คน ซึ่งถือเป็นการสร้างสถิติรายวันสูงที่สุดในโลกอีกครั้ง และนับเป็นวันที่ 6 ติดต่อกันที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเกิน 200,000 คน รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสม 15.32 ล้านคน สูงสุดอันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกา ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1,761 คน ซึ่งถือเป็นสถิติรายวันสูงสุดเช่นกัน และรวมยอดผู้เสียชีวิตจนถึงล่าสุดอยู่ที่ 180,530 คน
สำหรับสหรัฐฯแม้โครงการฉีดวัคซีนมีความคืบหน้าอย่างมาก โดยล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ (18) จำนวนผู้ได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดสเพิ่มเป็น 130 ล้านคน และเริ่มเปิดให้ประชากรวัยผู้ใหญ่ทั้งหมดเข้ารับการฉีดวัคซีนเมื่อวันจันทร์ ทว่า ฟาวซีเตือนว่า สถานการณ์การระบาดยังถือว่าล่อแหลม เนื่องจากยังพบผู้ติดเชื้อเพิ่มในรอบ 7 วันเฉลี่ยวันละกว่า 60,000 คน
วันจันทร์เช่นกัน กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มรายชื่อประเทศที่ “ห้ามเดินทาง” เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสโคโรนา รวมแล้วคิดเป็นราว 80% ของประเทศทั่วโลก หรือเกือบ 130 ประเทศ โดยอิงกับผลการประเมินด้านระบาดวิทยาของศูนย์เพื่อการควบคุมและการป้องกันโรค (ซีดีซี)
ในอีกด้านหนึ่ง มีความกังวลกันว่าความไม่เท่าเทียมในการแจกจ่ายวัคซีนระหว่างประเทศรวยกับประเทศจนจะยิ่งทำให้วิกฤตโรคระบาดใหญ่คราวนี้เพิ่มความซับซ้อนและยืดเยื้อกว่าเดิม
พร้อมกันนั้น คณะกรรมการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลก (WHO) ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของหลายประเทศที่จะกำหนดให้นักเดินทางระหว่างประเทศต้องมีใบรับรองการฉีดวัคซีน โดยคณะกรรมการชุดนี้บอกว่าจะทำให้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในการแจกจ่ายวัคซีนยิ่งรุนแรงขึ้น แถมเวลานี้ยังมีหลักฐานเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้เกิดความไม่มั่นใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวัคซีน
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)