เกิดเหตุกราดยิงที่อาคารสำนักงานแห่งหนึ่งในเทศมณฑลออเรนจ์ รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (31 มี.ค.) เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิตรวม 4 ศพ เป็นเด็ก 1 คน ส่วนผู้ต้องสงสัยถูกตำรวจยิงได้รับบาดเจ็บและสามารถควบคุมตัวเอาไว้ได้
เหตุระทึกขวัญครั้งนี้เกิดขึ้นที่เมืองออเรนจ์ ซึ่งอยู่ห่างจากลอสแองเจลิสไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 30 ไมล์ และถือเป็นเหตุยิงสังหารหมู่ครั้งที่ 3 ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ชั่วระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน
ร.ต.ต.หญิง เจนนิเฟอร์ อามัต แถลงว่า ตำรวจได้รับแจ้งเมื่อเวลาประมาณ 17.30 น.ตามเวลาท้องถิ่นว่ามีเสียงปืนดังขึ้นที่อาคารสูง 2 ชั้น เลขที่ 202 ถนน W. Lincoln จากนั้นเจ้าหน้าที่ซึ่งไปยังจุดเกิดเหตุได้มีการยิงสกัดคนร้าย และนำตัวผู้ต้องสงสัยซึ่งบาดเจ็บสาหัสส่งโรงพยาบาล
ในที่เกิดเหตุยังพบผู้เสียชีวิตเป็นผู้ใหญ่ 3 คน เด็ก 1 คน และมีผู้บาดเจ็บรวม 2 คน หนึ่งในนั้นก็คือมือยิง
สำนักงานตำรวจเมืองออเรนจ์ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า สามารถ “ควบคุมสถานการณ์” ได้แล้ว และไม่มีความเสี่ยงต่อคนในชุมชน
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ยังคงไม่เปิดเผยรายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม
เหตุกราดยิงคราวนี้เกิดขึ้นเพียง 2 สัปดาห์เศษๆ หลังจากที่มีชายผิวขาวบุกเข้าไปกราดยิงสปาและร้านนวดในเมืองแอตแลนตาและพื้นที่ใกล้เคียงเมื่อวันที่ 16 มี.ค. จนมีผู้เสียชีวิตถึง 8 ราย และเหยื่อ 6 รายเป็นผู้หญิงเอเชีย
ต่อมาในวันที่ 22 มี.ค. ชายคนหนึ่งก็ได้ก่อเหตุกราดยิงซูเปอร์มาร์เกตที่เมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด ซึ่งทั้ง 2 เหตุการณ์นี้ผู้ก่อเหตุถูกตำรวจจับกุมตัวเอาไว้ได้
เกวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ทวีตข้อความเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมล่าสุดที่เมืองออเรนจ์ว่าเป็นเหตุนองเลือด “ที่น่าหวาดกลัวและเศร้าสลดใจ”
(ที่มา : รอยเตอร์)