สภาล่างสหรัฐฯ อนุมัติขั้นสุดท้ายแผนเยียวยาโควิด มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ถือเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของไบเดน และยังเป็นความหวังในการส่งเสริมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกา ขณะเดียวกัน วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าผ่านด่านทดสอบสำคัญอีกครั้ง หลังยุโรปออกมารับรองว่ากรณีที่มีผู้เสียชีวิตและมีภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอดที่ออสเตรียไม่ใช่ผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนของบริษัทนี้ และล่าสุด เกาหลีใต้อนุมัติให้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้ากับกลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไปได้แล้ว
เนื่องจากวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้แก้ไขร่างของสภาผู้แทนราษฎร และจากนั้นก็โหวตผ่านแพกเกจเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 มูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ฉบับนี้ไปก่อนแล้ว ดังนั้น เมื่อสภาล่างลงมติในวันพุธ (10 มี.ค.) ยินยอมตามร่างที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ จึงหมายความว่าได้ผ่านขั้นสุดท้ายของกระบวนการในรัฐสภา ต่อไป คือ การยื่นให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ลงนามบังคับใช้
แพกเกจนี้ถือเป็นหนึ่งในแพกเกจเยียวยาสู้วิกฤตที่มีมูลค่าสูงสุดของสหรัฐฯ มีเนื้อหาครอบคลุมการจ่ายเงินโดยตรงให้แก่พลเมืองอเมริกันส่วนใหญ่คนละ 1,400 ดอลลาร์, การให้ความช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่นและมลรัฐ 350,000 ล้านดอลลาร์, การขยายเครดิตภาษีสำหรับผู้มีบุตร และการอัดฉีดกองทุนสำหรับการฉีดวัคซีนเพิ่ม
ด้านประธานาธิบดีไบเดน ทวีตข้อความว่า “ความช่วยเหลืออยู่ที่นี่แล้ว” และทำเนียบขาวแถลงว่า ไบเดนจะลงนามรับรองร่างกฎหมายนี้ในวันศุกร์ (12)
สภาล่างที่ควบคุมโดยพรรคเดโมแครตผ่านกฎหมายนี้ด้วยคะแนนเฉียดฉิว 220-211 โดยที่ไม่มีสมาชิกพรรครีพับลิกันยกมือสนับสนุนแม้แต่คนเดียว โดยพวกเขาโจมตีว่า เป็น “วาระสังคมนิยม” มีมูลค่าสูงเกินไป และกว่า 90% ของงบประมาณนี้ไม่ได้ใช้เพื่อต่อสู้กับโควิดโดยตรง ขณะที่ช่วงเวลาเลวร้ายที่สุดของวิกฤตไวรัสผ่านพ้นไปแล้ว และเศรษฐกิจกำลังเดินหน้าฟื้นตัว
ท่าทีคัดค้านของรีพับลิกันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความคิดเห็นของคนอเมริกัน โดยผลสำรวจของรอยเตอร์-อิปโซส ที่จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 8-9 ที่ผ่านมา พบว่า คนอเมริกัน 70% ทั้งฝ่ายสนับสนุนเดโมแครตและรีพับลิกัน สนับสนุนมาตรการเยียวยานี้
ด้านเดโมแครตประกาศว่า กฎหมายนี้เป็นมาตรการสำคัญในการรับมือวิกฤตโควิดที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 528,000 คนในอเมริกา ไม่รวมถึงคนตกงานอีกนับล้าน
รัฐมนตรีคลัง เจเน็ต เยลเลน แถลงว่า การผ่านกฎหมายฉบับนี้เป็นวันที่ดีสำหรับเศรษฐกิจอเมริกาที่จะสามารถฟื้นตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน ที่ยุโรป องค์การยาแห่งยุโรปแถลงเมื่อวันพุธ ว่า ไม่พบหลักฐานเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนโควิด-19 ของแอสตร้าเซนเนก้ากับการป่วยของชาวออสเตรีย 2 คน ซึ่ง 1 ในนั้นเสียชีวิตหลังฉีดวัคซีน 10 วัน และทำให้ออสเตรียประกาศระงับการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาล็อตเดียวกันนั้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7)
ผู้เสียชีวิตดังกล่าวได้รับการวินิจฉัยว่า มีอาการลิ่มเลือดอุดตัน ส่วนอีกคนถูกนำส่งโรงพยาบาลจากภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด
เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ที่ประกาศเมื่อวันพฤหัสฯ (11) ว่า จะขยายโครงการฉีดวัคซีนแอสตราเซเนกาครอบคลุมประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป
เกาหลีใต้เริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนตั้งแต่ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ โดยเริ่มจากกลุ่มผู้สูงวัยและบุคลากรทางการแพทย์ แต่ยกเว้นผู้พักฟื้นในบ้านพักคนชราที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปจำนวนกว่า 370,000 คน เนื่องจากขาดข้อมูลการทดลองทางคลินิกในประชากรกลุ่มวัยนี้
อย่างไรก็ดี ขณะนี้มีข้อมูลการใช้จริงจากอังกฤษที่พบว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการป่วยรุนแรงจากโควิดจนถึงขั้นต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล สำหรับผู้ที่อายุ 80 ปีขึ้นไปจากการฉีดเพียงเข็มเดียว
ศูนย์ควบคุมโรคแห่งเกาหลีเผยว่า จนถึงวันพุธได้ฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าหรือไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค ให้ประชาชนแล้ว 500,635 คน และในวันเดียวกันนั้นพบผู้ติดเชื้อใหม่ 465 คน รวมยอดสะสม 94,198 คน และเสียชีวิต 1,652 คน
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)