วัคซีนโควิด-19 ของแอสตราเซเนกา-มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ไม่ใช่แค่ป้องกันผู้ได้รับฉีดจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แต่ดูเหมือนจะช่วยชะลอไม่ให้เชื้อแพร่กระจายออกไปได้อีกด้วย รวมทั้งฉีดแค่โดสเดียวก่อนก็ให้การปกป้องนานถึง 3 เดือน ทั้งนี้เป็นผลศึกษาวิจัยซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (2 ก.พ.)
ก่อนหน้านี้ผู้พัฒนาวัคซีน 3 รายใหญ่ที่ใช้กันอยู่ในตะวันตกขณะนี้ ได้แก่ แอสตราเซเนกา, ไฟเซอร์ และโมเดอร์นา เปิดเผยว่า วัคซีนของตนมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ในระหว่างการทดลองทางคลินิก 70-95% อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนเหล่านี้ยังมีโอกาสติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการและแพร่เชื้อให้คนอื่นได้หรือไม่ ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วยังควรสวมหน้ากากและรักษาการเว้นระยะห่างทางสังคม
มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดของอังกฤษ ซึ่งร่วมพัฒนาวัคซีนกับแอสตราเซเนกา ได้ทำการศึกษาเพื่อหาคำตอบเรื่องนี้ โดยเก็บตัวอย่างจากช่องจมูกอาสาสมัครในอังกฤษเป็นประจำเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งมีการเผยแพร่รายงานศึกษาเบื้องต้นออกมาในวันอังคารว่า ผู้ที่ผลตรวจออกมาเป็นบวก (ซึ่งแสดงว่าติดเชื้อ โดยในจำนวนนี้มีทั้งผู้ติดเชื้อที่แสดงอาการและผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการ) นั้น ในอาสาสมัครกลุ่มซึ่งได้รับวัคซีนจริง จะมีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนจริงถึง 67%
ถึงแม้นี่ยังไม่ใช่การวัดเรื่องนี้โดยตรง แต่ก็เป็นข้อมูลซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าการฉีดวัคซีนตัวนี้มีผลในการสกัดกั้นการแพร่เชื้อได้จริงๆ ซาราห์ กิลเบิร์ก ผู้นำทีมนักวิจัยของออกซ์ฟอร์ด กล่าวในการประชุมของบัณฑิตยสภาทางวิทยาศาสตร์แห่งนิวยอร์กเมื่อวันพุธ (3)
นอกจากนั้น คณะนักวิจัยยังศึกษาประเด็นที่ว่าผู้ฉีดวัคซีนมีแนวโน้มติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการมากน้อยแค่ไหน ซึ่งได้พบว่า ในอาสาสมัครกลุ่มย่อยกลุ่มหนึ่ง มีผู้ติดเชื้อแบบไม่แสดงอาการอยู่ 16 คนในกลุ่มที่ฉีดวัคซีน ขณะที่ในกลุ่มซึ่งไม่ได้ฉีดวัคซีนมี 31 คน
ทางด้าน เมเน แพงกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาชีวเภสัชภัณฑ์ของแอสตราเซเนกา ได้ชี้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งจากผลของการทดลอง นั่นคือ ไม่พบผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการรุนแรงหรือต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเลยในระยะเวลา 3 สัปดาห์หลังฉีดวัคซีนโดสแรก และดูเหมือนว่า วัคซีนของบริษัทมีประสิทธิภาพยาวนาน 12 สัปดาห์นับจากฉีดโดสแรก
แมตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีสาธารณสุขของอังกฤษกล่าวเมื่อวันพุธ (3) ว่า ผลการศึกษานี้สนับสนุนกลยุทธ์ของอังกฤษในการเว้นระยะระหว่างวัคซีนเข็มแรกกับเข็มที่สองนาน 12 สัปดาห์ เพื่อที่จะได้เร่งฉีดวัคซีนโดสแรกให้ประชาชนเป็นจำนวนมากขึ้น ถึงแม้การปฏิบัติเช่นนี้ ซึ่งสิ่งที่ที่ประเทศอื่นๆ ในยุโรป รวมถึงแอนโทนี ฟาวซี แพทย์ใหญ่ของอเมริกาไม่เห็นด้วย ขณะที่ไฟเซอร์และโมเดอร์นาก็แนะนำให้ฉีดวัคซีนของพวกตน 2 โดสห่างกัน 3-4 สัปดาห์
ดร.แอนดรูว์ พอลลาร์ด หนึ่งในนักวิจัยของออกซ์ฟอร์ด เสริมว่า นักวิจัยยังเชื่อว่า วัคซีนแอสตราเซเนกาสามารถป้องกันไวรัสโคโรนากลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ๆ แม้ว่า ยังต้องรอดูข้อมูลการศึกษาก่อนก็ตาม และสำทับว่า หากจำเป็น บริษัทสามารถปรับปรุงวัคซีนให้รับมือกับไวรัสกลายพันธุ์ได้ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน
อนึ่ง ในวันพฤหัสฯ (4) ออกซ์ฟอร์ดยังประกาศว่า จะเริ่มต้นการทดลองทางการแพทย์เพื่อดูว่า วัคซีนจากบริษัทต่างๆ สามารถใช้ทดแทนกันได้หรือไม่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดส่งวัคซีนที่เผชิญปัญหาอยู่ในขณะนี้
การศึกษานี้จะใช้เวลา 13 เดือน โดยเปรียบเทียบทั้งการฉีดวัคซีนเข็มแรกและเข็มสองภายในระยะ 4-12 สัปดาห์ โดยใช้วัคซีนของแอสตราเซเนกาและไฟเซอร์
ศาสตราจารย์แมทธิว สเนป จากออกซ์ฟอร์ด ระบุว่า การศึกษานี้น่าตื่นเต้นมากและจะให้ข้อมูลสำคัญสำหรับโครงการฉีดวัคซีนทั่วโลก
ข่าวดีเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ยังมาจากบริษัทเวชภัณฑ์ แกล็กโซสมิธไคลน์ ที่เปิดเผยเมื่อวันพุธว่า กำลังร่วมมือกับเคียวแวค บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของเยอรมนี พัฒนาวัคซีนโควิด-19 ใหม่ ขณะที่รัสเซียประกาศว่า กำลังพิจารณาเพิ่มกำลังผลิตวัคซีน “สปุตนิก ไฟฟ์” ที่วารสารการแพทย์ทรงอิทธิพล “แลนสิท” รายงานผลการทดสอบที่พบว่า มีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสโคโรนาถึง 91.6%
(ที่มา : เอพี/ซีเอ็นเอ็น/รอยเตอร์)