xs
xsm
sm
md
lg

งงเลย! โจร “คุณธรรม” ขโมยรถมีเด็กติดไปด้วย ขับกลับมาด่าเจ้าของพร้อมขู่แจ้งตำรวจฐาน “ไม่ดูแลลูก”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


(แฟ้มภาพจากเอเอฟพี) ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาข่าว
ตำรวจรัฐออริกอน สหรัฐฯ กำลังตามล่าชายคนหนึ่ง หลังก่อเหตุขโมยรถยนต์ในตอนเช้าวันเสาร์ (16 ม.ค.) โดยไม่รู้ว่ามีเด็กอยู่บริเวณเบาะหลัง ก่อนตัดสินใจเลี้ยวรถกลับมา พร้อมสั่งสอนเหยื่อผู้ถูกขโมยรถเป็นชุดๆ โทษฐานที่ปล่อยลูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแล

แมตต์ เฮนเดอร์สัน โฆษกตำรวจบีเวอร์ตัน เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นว่า พอผู้ต้องสงสัยเห็นเด็กอยู่บริเวณเบาะหลังระหว่างขับรถหลบหนี เขาเลี้ยวรถกลับมาหาแม่ของเด็กและด่าทออบรมสั่งสอนเธอ พร้อมขู่แจ้งความตำรวจโทษฐานที่ไม่ดูแลลูก จากนั้นก็ขับรถของแม่เด็กหลบหนีไป

“เขากระโดดขึ้นไปบนรถ แล้วขับไป จากนั้นพอทราบว่ามีเด็ก 4 ขวบอยู่ข้างใน เขาก็ขับกลับมาและสั่งให้เธอเอาตัวเด็กลงจากรถ แล้วก็ขับหนีไปอีกครั้ง” เฮนเดอร์สันกล่าว “เราขอบคุณที่เขายังมีคุณธรรมพอที่นำตัวเด็กตัวเด็กๆ มาคืน” พร้อมเผยว่าเด็กชายรายดังกล่าวไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบริเวณตลาดค้าเนื้อในเมืองบีเวอร์ตัน รัฐออริกอน โดย คริสตัล เลียรี เจ้าของรถ ไม่ได้ดับเครื่องยนต์และไม่ได้ล็อกประตู ก่อนเข้าไปในตลาดเพื่อซื้อเนื้อและนม เนื่่องจากคิดว่าคงใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่เธอออกห่างจากรถไปเพียงไม่ถึง 15 ฟุต เลียรี หันกลับมาแล้วพบว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น “ในฐานะแม่ ฉันยุ่งมาก และคิดว่าฉันเพิ่งวิ่งเข้าไปในตลาดไม่กี่วินาที มันเป็นตัวอย่างที่ดีมากๆ สำหรับใครก็ตามที่เผลอไม่ระวังตัว มันอาจจบลงด้วยเหตุการณ์เลวร้าย” คริสตัล เลียรี บอกกับซีเอ็นเอ็น

คุณแม่เลียรีกล่าวต่อว่า “ขอบคุณที่เขาไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องโง่เง่ามากและฉันจะไม่มีวันทำแบบนี้อีกแล้ว การตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาทีสามารถเปลี่ยนแปลงทุกๆ สิ่งได้“”

โฆษกตำรวจเปิดเผยว่าพบรถยต์ฮอนด้า ไพล็อต ปี 2013 สีเงิน ในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ที่เมืองปอร์ทแลนด์ ห่างจากเมืองบีเวอร์ตัน ราว 12 กิโลเมตร แต่เวลานี้ยังคงอยู่ระหว่างตามล่าหัวขโมย

รูปพรรณสัณฐานของคนร้าย คือ เป็นชายผิวขาว ผมถักเปียสีน้ำตาลเข้ม โดยระหว่างก่อเหตุนั้นเขาสวมหน้ากากหลากสี “มันคือบทเรียนที่ดีสำหรับเราทุกคนที่มีลูก” โฆษกตำรจระบุ “จงระวังเป็นพิเศษกับลูกๆ ของคุณ ใช้มาตรการพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะปลอดภัย”

(ที่มา: ซีเอ็นเอ็น)


กำลังโหลดความคิดเห็น