แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ขู่จะมีการดำเนินคดีกับสมาชิกสภาคองเกรสที่มีส่วนช่วยเหลือให้กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บุกรุกอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 ม.ค.
เหตุโจมตีอาคาร “แคปปิตอล” ซึ่งเป็นที่ตั้งของสภาคองเกรสทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 5 คน และนำมาสู่การโหวตรับรองญัตติถอดถอน ทรัมป์ เป็นครั้งที่ 2 โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งเชื่อว่าคำปราศรัยอันดุเดือดของประธานาธิบดีสายรีพับลิกันรายนี้เป็นตัวกระตุ้นให้มวลชนเข้าปิดล้อมรัฐสภา และ “ต่อสู้” เพื่อคัดค้านชัยชนะของว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน
ผู้ประท้วงหลายร้อยคนซึ่งกรูกันเข้าไปในอาคารรัฐสภาอย่างรวดเร็วจนตำรวจกันเอาไว้ไม่อยู่ก่อให้เกิดคำถามว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยหละหลวมเกินไปหรือไม่ และยังเป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ประท้วงบางคนเหมือนจะทราบดีว่าห้องทำงานของสมาชิกสภาคองเกรสคนใดตั้งอยู่ตรงจุดไหน
มิกี เชอร์ริล ส.ส.พรรคเดโมแครตซึ่งเป็นอดีตนักบินเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือสหรัฐฯ ออกมากล่าวหา ส.ส.รีพับลิกันบางคนว่าช่วยเหลือผู้สนับสนุนทรัมป์ โดยเธออ้างว่าเห็นส.ส.เหล่านี้พากลุ่มคนเข้ามา “เดินสำรวจ” อาคารตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.
สื่อมวลชนได้ตั้งคำถามกับ เพโลซี ระหว่างการแถลงข่าวว่า จะมีการเอาผิดกับสมาชิกคองเกรสที่นำทัวร์รัฐสภาก่อนวันเกิดเหตุหรือไม่ ซึ่งเธอตอบว่า “ถ้าพบว่ามีสมาชิกสภาคองเกรสคนใดสมรู้ร่วมคิดกับการก่อกบฏ และถ้าพวกเขามีส่วนช่วยเหลือหรือสนับสนุนการก่ออาชญากรรมครั้งนี้ ก็อาจจะต้องมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย”
อีวา มาเลกกี โฆษกตำรวจรัฐสภา ยืนยันว่ากำลังมีการสอบสวนว่าสมาชิกสภาคองเกรสพากลุ่มบุคคลภายนอกเข้ามายังรัฐสภาในวันก่อนเกิดเหตุจริงหรือไม่
ส.ส.เดโมแครตกว่า 30 คน รวมถึง เชอร์ริลล์ ร้องขอให้ตำรวจรัฐสภาเปิดเผยข้อมูลว่ามีใครบ้างที่เข้าไปในอาคารแคปปิตอลเมื่อวันที่ 5 ม.ค.
เพโลซี ยังมีคำสั่งทบทวนมาตรการคุ้มกันอาคารรัฐสภา ซึ่งรวมถึงกระบวนการและโครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัยทั้งหมด ท่ามกลางเสียงประท้วงจาก ส.ส.รีพับลิกันบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงการบังคับให้ผู้ที่จะเข้าไปยังรัฐสภาทุกคนต้องเดินผ่านเครื่องตรวจจับโลหะ
ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์อ้างว่าได้เห็นสำเนารายงานข่าวกรองของตำรวจรัฐสภา ซึ่งมีการเตือนตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.ว่าสภาคองเกรสอาจตกเป็นเป้าโจมตีของผู้สนับสนุนทรัมป์ในวันที่ 6 ม.ค. ทว่าเอกสารภายในฉบับนี้ดูไม่ได้ถูกแชร์ไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่นๆ
ที่มา: รอยเตอร์
