โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในสัปดาห์หน้า ท่ามกลางความพยายามของภาครัฐที่จะกระตุ้นให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของวัคซีนซึ่งคาดว่าจะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในปีหน้า
ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวยืนยันว่ารองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์ รวมถึงนางคาเรน ภริยาของเขา และศัลยแพทย์ใหญ่ เจอโรม แอดัมส์ จะรับการฉีดวัคซีนในวันพรุ่งนี้ (18 ธ.ค.)
“ผมก็ไม่ได้อยากจะฉีดเป็นคนแรกๆ หรอก แต่ผมต้องการให้ชาวอเมริกันเกิดความมั่นใจว่ามันปลอดภัย” ไบเดน ให้สัมภาษณ์วานนี้ (17)
ว่าที่ผู้นำสหรัฐฯ วัย 78 ปี จัดว่าเป็นผู้สูงอายุ และอยู่ในข่ายเสี่ยงมีอาการข้างเคียงรุนแรงหากติดโควิด-19
ทีมงานชุดเปลี่ยนผ่านของไบเดน ยังไม่ยืนยันว่า ส.ว.กมลา แฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดีหญิง จะได้รับวัคซีนเมื่อใด
ไบเดน ประกาศให้การต่อสู้โรคระบาดใหญ่โควิด-19 เป็นภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งหลังจากเข้าพิธีสาบานตนเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า ซึ่งตรงกันข้ามกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้แพ้ศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พ.ย. ซึ่งมักแสดงท่าทีดูเบาความร้ายกาจของไวรัสที่คร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วกว่า 304,000 คน
เคย์ลีห์ แม็กเอนานีย์ เลขานุการฝ่ายสื่อของทำเนียบขาว ระบุเมื่อวันอังคาร (15) ว่า ทรัมป์ซึ่งเคยติดเชื้อโควิด-19 เมื่อเดือน ต.ค. พร้อมจะเข้ารับการฉีดวัคซีนทันทีที่ได้รับคำแนะนำจากทีมแพทย์
สหรัฐฯ ได้รับวัคซีนที่ผลิตโดยไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทคล็อตแรกในสัปดาห์นี้ โดยจะฉีดให้กับบุคลากรแถวหน้า เช่น แพทย์, พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข รวมถึงพลเมืองกลุ่มเสี่ยง, ผู้สูงอายุในสถานสงเคราะห์ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ บางคนเป็นกลุ่มแรกๆ
ทางการสหรัฐฯ คาดว่าจะได้รับวัคซีนจากไฟเซอร์รวมทั้งสิ้น 2.9 ล้านโดสภายในสุดสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าบุคลากรการแพทย์ในรัฐอะแลสกาคนหนึ่งเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงหลังได้รับวัคซีนตัวนี้ ซึ่งน่าจะเป็นรายแรกที่พบในสหรัฐฯ
ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยยังคงเพิกเฉยต่อมาตรการป้องกันตนเองจากโควิด-19 เช่น ไม่สวมหน้ากากอนามัย และจากผลสำรวจโดยรอยเตอร์/อิปซอสเมื่อเร็วๆ นี้พบว่ามีผู้ตอบคำถามเพียง 61% เท่านั้นที่เต็มใจเข้ารับวัคซีน
นักวิทยาศาสตร์คาดว่า “ภูมิคุ้มกันหมู่” จากโควิด-19 จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อประชากรเกินกว่า 70% ขึ้นไปมีการสัมผัสเชื้อ ไม่ว่าจะโดยการติดเชื้อตามธรรมชาติ หรือจากการฉีดวัคซีนก็ตาม ซึ่งในกรณีของสหรัฐฯ นั้นมียอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 16.7 ล้านคน หรือคิดเป็นเพียงราวๆ 5% ของจำนวนประชากรทั้งหมด
ที่มา : รอยเตอร์