เอเอฟพี – เมื่อวานนี้(14 ธ.ค)รัฐสภาเกาหลีใต้ลงมติห้ามกลุ่มนักเคลื่อนไหวโปรยใบปลิวข้ามพรมแดนเข้าไปในเกาหลีเหนือด้วยมติ 187 เสียง สร้างความโกรธเคืองให้กับบรรดากลุ่มสิทธิมนุษยชนที่ประณามเป็นการละเมิดสิทธิทางการแสดงความคิดเห็นและยังเป็นการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดไปยังรัฐบาลเผด็จการเกาหลีเหนือ
เอเอฟพีรายงานเมื่อวานนี้(14 ธ.ค)ว่า เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าบรรดานักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนโปรยใบปลิวโจมตีผู้นำเกาหลีเหนือ คิม จองอึน ด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนและโครงการอาวุธนิวเคลียร์ สร้างความโกรธแค้นให้กับผู้นำเกาหลีเหนือและน้องสาว คิม โย จอง (Kim Yo Jong)เป็นอย่างมาก โดยทางน้องสาวถึงขั้นเรียกแปรพักตรเกาหลีเหนือที่อยู่เบื้องหลังว่า “เป็นเดนมนุษย์ที่แทบไม่มีคุณค่าความเป็นคนหลงเหลืออยู่”
และในวันจันทร์(14)ด้วยมติเสียงผู้เข้าร่วมการประชุม 187 คนที่เข้าร่วมการประชุมได้ทำการผ่านกฎหมายให้การโปรยใบปลิวข้ามแดน รวมไปถึงการส่งข้อมูลผ่านทางแฟลชไดรฟ์ซึ่งเป็นวิธีที่นิยมมากในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและการบันเทิงรวมไปถึง “เงิน” ไปยัง "เกาหลีเหนือ" ให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย
ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ ผู้ที่ละเมิดในการส่งใบปลิวต้องถูกลงโทษจำคุกสูงสุด 3 ปีในเรือนจำ หรือโดนปรับเป็นเงิน 30 ล้านวอน หรือราว 28,000 ดอลลาร์
เอเอฟพีรายงานว่า ประชาชนเกาหลีใต้ที่อาศัยใกล้พรมแดนติดเกาหลีเหนือต่างเรียกร้องมาเป็นเวลานานให้ออกคำสั่งห้ามการโปรยใบปลิวข้ามแดนด้วยเกรงว่าทางเกาหลีเหนือจะใช้กำลังทหารเคลือนไหวบุกเข้ามา
กลุ่มฮิวแมนไรท์วอชซึ่งมีฐานอยู่ในนิวยอร์กได้ออกมาแสดงความเห็นถึงกฎหมายห้ามโปรยใบปลิวข้ามแดนของโซล เรียกร้องให้รัฐสภาเกาหลีใต้ไม่รับกฎหมายฉบับนี้เพราะเป็นการละเมิดเสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็นและยังทำให้นักเคลื่อนไหวด้านมนุษยธรรมกลายเป็นผู้กระทำผิดกฎหมาย
“ดูเหมือนว่าโซลจะมีความสนใจมากกว่าในการทำให้ประธานาธิบดี คิม จองอึน มีความสุขแทนที่จะให้ความสำคัญต่อสิทธิการแสดงความคิดเห็นของประชาชนของตัวเองในฐานะตัวแทนของเกาหลีเหนือเพื่อนบ้าน” จอห์น ซิฟตัน (John Sifton) ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของฮิวแมนไรท์วอชแถลง
ขณะที่ ปาร์ค ซัง-ฮัค (Park Sang-hak) ประธานกรรมการกลุ่มนักต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยเกาหลีเหนือ(Fighters for a Free North Korea)ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมโปรยใบปลิวข้ามแดนแสดงความเห็นว่า
“ผมไม่ขอยอมรับต่อกฎหมายฉบับนี้ว่าถูกฎหมายและจะเดินหน้าทำในสิ่งที่เคยได้ทำมาต่อไปคือการส่งสารแห่งเสรีภาพไปยังประชาชน 25 ล้านคนที่อยู่ข้ามแดน”
และเสริมต่อว่า “เกาหลีเหนือเป็นเพียงประเทศเดียวในโลกที่ปิดกั้นประชาชนของตัวเองจากการเข้าถึงระบบอินเตอร์เน็ต” และกล่าวว่า “ความผิดนี้ร้ายแรงป่าเถื่อนและเป็นการละเมิดต่อสิทธิในการได้รับรู้ความจริง”