รัฐบาลอังกฤษประกาศใช้มาตรการคุมเข้มโควิด-19 ขั้นสูงสุดหรือ “เทียร์ 3” ในกรุงลอนดอนวานนี้ (14 ธ.ค.) หลังพบไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ซึ่งคาดว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับอัตราการติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้น
แม็ตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ระบุว่า เวลานี้พบผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์แล้วมากกว่า 1,000 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ
แม้จะยังไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์อาจแพร่ได้ง่ายขึ้นหรือไม่ตอบสนองต่อวัคซีน แต่ แฮนค็อก เตือนว่ามันอาจมีส่วนทำให้อัตราการติดเชื้อพุ่งสูงขึ้น
“ตลอดสัปดาห์ที่แล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสเพิ่มสูงขึ้นอย่างผิดสังเกตทั้งในลอนดอน, เคนต์, บางส่วนของเอสเซกซ์ และเฮิร์ตฟอร์ดเชอร์” แฮนค็อก แถลงต่อสภาสามัญชน โดยอ้างถึงมณฑลต่างๆ ที่อยู่รายรอบกรุงลอนดอน พร้อมประกาศยกระดับมาตรการคุมเข้มโควิด-19 ขั้นสูงสุดทั้งในกรุงลอนดอนและพื้นที่ใกล้เคียงบางแห่ง
เมื่อต้นเดือนนี้ รัฐบาลอังกฤษได้เริ่มนำมาตรการคุมเข้ม 3 ระดับมาใช้เพื่อชะลอการแพร่ระบาดระลอกที่ 2 หลังจากที่สั่งล็อกดาวน์ทั่วประเทศเป็นเวลา 1 เดือน โดยมีพลเมืองอังกฤษกว่า 40% ถูกจัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง
มาตรการคุมเข้มเทียร์ 3 จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในกรุงลอนดอนตั้งแต่ 1.00 GMT ของวันพุธ (16) และจะส่งผลให้บาร์และร้านอาหารซึ่งเคยเปิดได้ตามเงื่อนไขบางอย่างของเทียร์ 2 ต้องถูกปิดตัวลง และให้บริการแบบซื้อกลับบ้านได้เท่านั้น นอกจากนี้ยังเพิ่มข้อจำกัดในด้านการพบปะสังสรรค์ แต่ยังคงอนุญาตให้ออฟฟิศและโรงเรียนเปิดทำการได้ตามปกติ
คริส วิตตี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ของอังกฤษ ชี้แจงว่า การตรวจพบเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ลอนดอนถูกยกระดับเตือนภัยขั้นสูงสุด หากแต่เป็นอัตราการติดเชื้อที่เพิ่มสูงขึ้น พร้อมย้ำว่ายังไม่มีผลทดลองทางคลินิกที่ยืนยันว่าโควิด-19 กลายพันธุ์นั้นแตกต่างหรือรุนแรงกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างไร
องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่าอังกฤษได้แจ้งรายงานเรื่องการพบเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ แต่ก็ย้ำว่าการกลายพันธุ์ของไวรัสสามารถเกิดขึ้นได้เป็นปกติ
ที่มา : รอยเตอร์