สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติใช้งานวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของไฟเซอร์ (Pfizer) เป็นกรณีฉุกเฉินแล้วเมื่อวานนี้ (11 ธ.ค.) โดยคาดว่าจะเริ่มแจกจ่ายวัคซีนให้แก่ประชากรกลุ่มแรกในสัปดาห์หน้า
วัคซีนซึ่งพัฒนาโดยบริษัทไฟเซอร์ร่วมกับไบโอเอ็นเทค (BioNTech) ของเยอรมนีมีผลการทดลองขั้นสุดท้ายยืนยันประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดได้ถึง 95%
FDA อนุญาตให้มีการฉีดวัคซีนตัวนี้แก่พลเมืองที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป โดยคาดว่าบุคลากรทางการแพทย์และผู้สูงอายุตามสถานสงเคราะห์จะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับวัคซีนซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ทั้งหมด 2.9 ล้านโดสในเดือนนี้
หน่วยงานสาธารณสุข ตลอดจนบริษัทขนส่งสินค้า, โรงพยาบาล และร้านขายยาในสหรัฐฯ ต่างเตรียมความพร้อมสำหรับโครงการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันระดับประเทศ โดยไฟเซอร์ยืนยันว่าพร้อมจัดส่งวัคซีนให้ได้ในทันที และคาดว่าสหรัฐฯ จะเริ่มฉีดวัคซีนให้แก่ประชากรกลุ่มแรกๆ ได้ตั้งแต่วันจันทร์นี้ (14)
รัฐบาลสหรัฐฯ คาดว่าจะขยายโครงการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชากรอย่างกว้างขวางภายในอีกไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากวัคซีนอีกตัวจาก “โมเดอร์นา อิงค์” ผ่านการอนุมัติ
ประกาศจาก FDA มีขึ้นในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวันมีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้นทั่วอเมริกา ซึ่งทำให้หอผู้ป่วยหนักตามโรงพยาบาลต่างๆ ต้องรับผู้ป่วยจนเกือบจะเต็มศักยภาพแล้ว ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นวันละหลายพันคน
อังกฤษเป็นประเทศแรกที่อนุมัติใช้งานวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคเมื่อต้นเดือนนี้ โดยเริ่มมีการฉีดวัคซีนให้แก่พลเมืองกลุ่มแรกเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (8) ส่วนแคนาดาก็เพิ่งจะประกาศไฟเขียว และคาดว่าจะเริ่มแจกจ่ายวัคซีนในสัปดาห์หน้า
เม็กซิโก, บาห์เรน และซาอุดีอาระเบีย ประกาศอนุมัติใช้งานวัคซีนของไฟเซอร์แล้วเช่นกัน
ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความโอ้อวดความสำเร็จของรัฐบาลในเรื่องวัคซีน พร้อมทั้งกล่าวโทษจีนตามเคยว่าเป็นต้นตอของโรคระบาดใหญ่
“สหรัฐฯ เป็นชาติแรกในโลกที่สามารถผลิตวัคซีนซึ่งมีผลการทดลองยืนยันว่ามีประสิทธิภาพและปลอดภัย ความสำเร็จในวันนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของอเมริกา” ทรัมป์ กล่าว
วัคซีนจากค่ายโมเดอร์นาคาดว่าจะได้รับอนุมัติใช้งานในสหรัฐฯ อย่างเร็วที่สุดภายในสัปดาห์หน้า นอกจากนี้ก็ยังมีวัคซีนของ แอสตราเซเนกา พีแอลซี ที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และวัคซีนของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่มีผลการทดลองคืบหน้าไปมากแล้วเช่นกัน
ที่มา: รอยเตอร์