พื้นที่ส่วนใหญ่ของแคลิฟอร์เนียในวันจันทร์ (7 ธ.ค.) ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดใหม่ๆ ซึ่งมีเป้าหมายชะลอการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนนิวยอร์กมีแนวโน้มต้องห้ามร้านอาหารเปิดให้รับประทานอาหารในร่มอีกรอบ ท่ามกลางคำเตือนว่า สหรัฐฯอาจต้องเผชิญการแพร่ระบาดอีกระลอกระหว่างเทศกาลวันหยุดที่กำลังมาถึง
คำสั่งที่ออกโดย กาวิน นิวซัม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว (3 ธ.ค.) ซึ่งยังไม่ครอบคลุมทั่วทั้งรัฐ ได้เริ่มต้นบังคับใช้แล้วในระดับท้องถิ่น ตามพื้นที่ต่างๆ ที่เหลือเตียงคนไข้รองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 อาการสาหัสไม่ถึง 15%
เวลานี้คำสั่งดังกล่าวมีผลบังคับใช้ทั่วเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนีย และแถบหุบเขาซานโจอาควิน ขณะที่เขตอำนาจศาลในย่านอ่าวซานฟรานซิสโก พื้นที่ซึ่งมีประชากรหนาแน่นที่สุดของรัฐ ก็ออกคำสั่งของตนเองแบบเดียวกัน รวมแล้ว 3 พื้นที่ดังกล่าว ครอบคลุมพลเมืองราวๆ 3 ใน 4 ของประชากรทั้งหมดเกือบ 40 ล้านคนของรัฐแคลิฟอร์เนีย
นายแพทย์แอนโธนี เฟาซี ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดต่อระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุเมื่อวันจันทร์ (7 ธ.ค.) ว่า ความเคลื่อนไหวของรัฐแคลิฟอร์เนีย จะช่วยลดความเป็นไปได้ที่โรงพยาบาลต่างๆ ของรัฐแห่งนี้จะเผชิญกับภาวะคนไข้ล้นโรงพยาบาล
แคลิฟอร์เนีย รายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่รายวันมากกว่า 30,000 คน เมื่อวันอาทิตย์ (6 ธ.ค.) ทุบสถิติสูงสุดเดิมก่อนหน้านี้ 21,986 คน ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ (4 ธ.ค.) ที่ผ่านมา นอกจากนี้แล้วรัฐแห่งนี้ยังมีคนไข้โควิด-19 เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล สูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดเช่นกัน
ตามข้อมูลของรอยเตอร์ ระบุว่า ทั่วทั้งสหรัฐฯ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสัปดาห์ที่แล้ว มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 193,863 คนต่อวัน ถือเป็นระดับสูงสุด ทั้งนี้ นับตั้งแต่โรคระบาดใหญ่เริ่มต้นขึ้นจนถึงตอนนี้ อเมริกายืนยันพบผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 14.7 ล้านคน ในนั้นเสียชีวิตมากกว่า 282,000 ราย สูงที่สุดในโลกทั้ง 2 กรณี
คำสั่งของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีอายุอย่างน้อย 3 สัปดาห์ ห้ามรวมกลุ่มของประชาชนไม่ว่าจะกี่คนในพื้นที่ที่คำสั่งมีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ ยังปิดธุรกิจที่ไม่จำเป็นต่างๆ ทั้งหมด ยกเว้นแต่โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญและห้างค้าปลีกทั้งหลาย และบังคับให้ทุกคนสวมหน้ากากและเว้นระยะห่างทางสังคม
ในนิวยอร์ก แอนดรูว์ คูโอโม ระบุว่า ทางรัฐจะกำหนดข้อจำกัดใหม่ๆ เพื่อควบคุมอัตราผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ในความพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์ซ้ำรอยในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ซึ่งทำให้รัฐแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางของโรคระบาดใหญ่ในสหรัฐฯ
คูโอโม บอกว่า เขาจะสั่งให้ร้านอาหารในนิวยอร์ก ซิตี ระงับเปิดรับประทานอาหารในร่มอีกรอบ อย่างเร็วที่สุดคือในวันจันทร์ (7 ธ.ค.) หากว่าจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้ในช่วงปลายเดือนกันยายน ร้านอาหารต่างๆ เพิ่งได้รับอนุญาตให้เปิดบริการในร่ม แบบจำกัดปริมาณลูกค้า ไม่เกิน 25% ของความจุ
นอกจากนี้แล้ว คูโอโม ยังพูดถึงความเป็นไปได้ที่อาจต้องปิดธุรกิจที่ไม่จำเป็นอย่างกว้างขวางทั่วรัฐ อย่างเช่นที่เคยกำหนดก่อนหน้านี้เมื่อช่วงฤดูใบไม่ผลิ หากว่าคนไข้เริ่มล้นโรงพยาบาล แม้เขายืนยันว่าสถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่ร้ายแรงถึงขั้นที่ต้องดำเนินการเช่นนั้น
กระนั้นก็ตาม คูโอโม บอกว่า ธุรกิจที่ไม่จำเป็นบางอย่างในรัฐนิวยอร์ก จะไม่อยู่ในข้อจำกัดรอบใหม่ ในนั้นรวมถึงร้านเสริมสวยและห้างค้าปลีก ขณะที่ระบบการศึกษาของเมือง ซึ่งเป็นระบบการศึกษาใหญ่สุดของสหรัฐฯ ได้ต้อนรับนักเรียนราว 190,000 คน จากทั้งหมด 1.1 ล้านคน กลับสู่ชั้นเรียนในสัปดาห์นี้ หลังปิดการเรียนการสอนไป 2 สัปดาห์
ในอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาขาดแคลนเตียงคนไข้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรัฐนิวยอร์กจะออกคำสั่งให้โรงพยาบาลต่างๆ เพิ่มปริมาณเตียงคนไข้ 25% พร้อมกับขอให้แพทย์และพยาบาลที่เกษียณอายุไปแล้ว กลับมาทำงานชั่วคราว
เฟาซี ซึ่งได้รับข้อเสนอจากว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ให้เป็นที่ปรึกษาทางการแพทย์ของเขา ในด้านโรคระบาดใหญ่ ก่อนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม เตือนว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดทั่วประเทศอาจเลวร้ายลงไปอีก หลังเทศกาลวันหยุดสิ้นปี
หลังจากผู้คนหลายล้านคนเพิกเฉยคำเตือนจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข เดินทางข้ามเมืองในช่วงเทศกาลวันหยุดวันขอบคุณพระเจ้าในเดือนพฤศจิกายน เฟาซี เกรงว่า อเมริกันชนจะขัดขืนอีกครั้ง ต่อเสียงเรียกร้องให้หลีกเลี่ยงการรวมกลุ่มในเทศกาลวันหยุดที่กำลังมาถึง ทั้งวันคริสต์มาสและวันปีใหม่
ปกติแล้วจำนวนผู้เสียชีวิตจะพุ่งขึ้นราว 3 สัปดาห์ หลังการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และในเรื่องนี้ เฟาซี เตือนว่า “หากตัวเลขไม่ลดลงอย่างมาก ช่วงกลางเดือนมกราคมอาจเป็นช่วงเวลาที่มืดมนสำหรับพวกเราอย่างแท้จริง”
ไบเดน บอกว่า เขาจะให้ความสำคัญกับการจัดการไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในลำดับต้นๆ เมื่อครั้งเขารับตำแหน่งแทนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จากรีพับลิกัน ผู้ซึ่งดูเบาโรคระบาดใหญ่มาตลอด
(ที่มา: รอยเตอร์)