(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)
China’s new wave: the queue for Covid vaccination
by Frank Chen
27/11/2020
เมืองอี้อู ในมณฑลเจ้อเจียง กำลังกลายเป็นสถานที่แรกซึ่งจะต้องไปกัน สำหรับชาวจีนที่กำลังวางแผนออกต่างประเทศในช่วงซึ่งโรคระบาดใหญ่ยังอาละวาดรุนแรงเช่นนี้
ระลอกคลื่นนักศึกษาจีนและนักธุรกิจจีนกำลังถาโถมเดินทางออกสู่นอกประเทศกันอีกคำรบ เหมือนไม่สะทกสะท้านกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่ยังคงอาละวาดออกฤทธิ์ออกเดชในพื้นที่ต่างแดนหลายหลาก ทว่าก่อนอื่นเลย พวกเขาจำนวนมากจะต้องเดินทางตัดตรงไปยังเมืองอี้อู ศูนย์กลางการค้าซึ่งเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วในมณฑลเจ้อเจียง ทางภาคตะวันออกของแดนมังกร
พวกเขาไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อซื้อหาสินค้าผู้บริโภคซึ่งมีให้เลือกสรรอย่างมากมายมหาศาล แต่เพื่อหาซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของจีนล็อตแรกๆ ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา ที่เมืองอี้อูมีการให้บริการ ซึ่งน่าจะเป็นการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสมรณะแก่ประชาชนวงกว้างเป็นครั้งแรกของโลก
ฝูงชนไหลบ่าจนท่วมท้นศูนย์สาธารณสุขชุมชนแห่งหนึ่งในเมืองนี้ ที่ตั้งอยู่ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ราวๆ 300 กิโลเมตร ในเมื่อเมืองแห่งอื่นๆ หรือเขตอื่นๆ ตลอดทั่วทั้งประเทศจีนยังคงไม่ได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กันเช่นนี้เลย
แต่ในอี้อู ผู้ที่ไม่ใช่ชาวท้องถิ่น เฉกเช่นเดียวกับชาวบ้านชาวเมืองและพ่อค้าแม่ขายของนครแห่งนี้ สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ ถ้าหากพวกเขาสามารถจองคิวผ่านทางออนไลน์ได้สำเร็จ
พวกสื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่า เวลานี้วัคซีนในสต็อกกำลังเหลือน้อยลงเรื่อยๆ แล้ว ขณะที่อี้อูต้อนรับผู้คนจากเมืองอื่นๆ ทั่วทั้งเจ้อเจียง ตลอดจนชาวบ้านชาวเมืองจากนครเซี่ยงไฮ้, มณฑลเจียงซู, และกระทั่งไกลออกไปอย่างมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง)
ผู้คนต่างกำลังแข่งกันเข้าตะครุบวัคซินป้องกันโควิดนี้ในทันทีที่สต็อกถูกเติมเพิ่มขึ้นมาอีก โดยเล่าลือกันหนาหูว่าเป็นฝีมือของ ซิโนแวค ไบโอ (SinoVac Bio) บริษัทผู้ผลิตยาที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในกรุงปักกิ่งและนำหุ้นเข้าจดทะเบียนซื้อขายที่ตลาดแนสแดคในนิวยอร์ก
ในหมู่ฝูงชนซึ่งกำลังไล่ล่าวัคซีนที่เมืองอี้อูกันอย่างขมักเขม้นนี้ ดูเหมือนแทบไม่มีใครกังวลใจอะไรเกี่ยวกับประสิทธิภาพและความปลอดภัย ตลอดจนในเรื่องกระบวนการของการพิสูจน์รับรองและในการอนุญาตให้ใช้ได้ของทางการผู้รับผิดชอบของจีนซึ่งยังดูกำกวมคลุมเครือ โดยที่เห็นกันว่าทั้งทางการและพวกบริษัทยาต่างยังคงเก็บงำอำพรางรายละเอียดอันสำคัญยิ่งยวดเกี่ยวกับการทดลองใช้วัคซีนนี้ในขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นขั้นการทดสอบในกลุ่มผู้คนจำนวนมาก
กระนั้นก็ตามที ผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันที่เมืองอี้อูนี้ ต้องลงนามในเอกสารยินยอมไม่กล่าวโทษฟ้องร้อง ซึ่งในนั้นมีข้อมูลแจ้งให้ทราบถึงความเสี่ยงจำนวนหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ เป็นต้นว่า การเกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรง อย่างเช่น อาการช็อกที่มีเหตุจากภูมิแพ้ และอาการโคม่า ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของพวกที่ได้รับการฉีดมา
เวลานี้คณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติของจีน (China’s National Health Commission) ยังไม่ได้ออกใบอนุญาตให้แก่วัคซีนที่กำลังแข่งขันกันอยู่ไม่ว่ารายใด และดังนั้น โปรแกรมที่กำลังดำเนินการอยู่ในเมืองอี้อูจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “การฉีดวัคซีนฉุกเฉิน” ซึ่งควรต้องกระทำเฉพาะในกลุ่มที่ผ่านการคัดสรรแล้วเท่านั้น ทว่าด้วยวิธีการพิสูจน์ว่ามีสิทธิ์ได้รับการฉีดหรือไม่แบบพอเป็นพิธีซึ่งเมืองอี้อูนำมาใช้ ย่อมหมายความว่าแทบทุกคนทีเดียวสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ถ้าหากว่ายังมียาเหลืออยู่ในสต็อก
ผู้สมัครสามารถที่จะจองช่วงเวลาด้วยการลงทะเบียนบนเว็บเพจ ซึ่งคนจำนวนมากที่อยู่นอกเมืองอี้อูก็จะใช้หลักฐานปลอมอ้างว่าเป็นลูกจ้างพนักงานในท้องถิ่น เพื่อให้ตนเองมีสิทธิ์เข้ารับการฉีด ทั้งนี้ตามรายงานของพวกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โดยที่แต่ละคนจะได้รับการฉีดวัคซีนจำนวน 2 โดสซึ่งคิดราคา 400 หยวน (ราว 1,840 บาท) แต่ละโดสฉีดห่างกัน 14 วัน
นักศึกษาจากเซี่ยงไฮ้ผู้หนึ่งซึ่งต้องการเดินทางกลับไปยังมหาวิทยาลัยที่เขาศึกษาอยู่ในสหราชอาณาจักร บอกกับ เหลียนเหอเจ่าเป้า (Lianhe Zaobao) หนังสือพิมพ์ภาษาจีนใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ว่า พวกเพื่อนนักศึกษาชาวจีนของเขาตลอดจนคนอื่นๆ ซึ่งต้องเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำธุรกิจ ล้วนแล้วแต่กำลังมุ่งหน้ามายังอี้อูเพื่อฉีดวัคซันกันทั้งนั้น
พ่อค้าแม่ค้าและนักธุรกิจจำนวนมากก็กำลังเข้าแถวเรียงรายยาวเหยียดที่ด้านนอกของศูนย์สาธารณสุขในอี้อูแห่งนี้เหมือนกัน เนื่องจากพวกเขามีความกระตือรือร้นที่จะออกไปมองหาโอกาสทางธุรกิจที่กำลังเกิดขึ้นตามที่ต่างๆ ในต่างแดน ณ จังหวะเวลาที่ตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ยังคงไม่ค่อยมีการแข่งขัน เนื่องจากพวกคู่แข่งจากชาติอื่นๆ ติดแหง็กอยู่กับบ้านท่ามกลางมาตรการล็อกดาวน์จำกัดความเคลื่อนไหวของผู้คน หรือไม่ก็ยังไม่กล้าที่จะเดินทาง
เฉิง เย่ชง (Cheng Yuechong) รองผู้ว่าการมณฑลเจ้อเจียง ซึ่งรับผิดชอบด้านกิจการสาธารณสุข พูดในการแถลงข่าวครั้งหนึ่งเมื่อกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมาว่า มีชาวมณฑลเจ้อเจียงมากกว่า 743,000 คนได้รับการฉีดวัคซีนแล้วภายในระยะเวลาราว 1 เดือนนับจากเดือนกันยายนเป็นต้นมา เขาบอกด้วยว่าการที่เจ้อเจียงมีการติดต่อแลกเปลี่ยนทางธุรกิจอย่างกว้างขวางกับโลกตะวันตก ทำให้มีเหตุผลความชอบธรรมที่ทางมณฑลจะดำเนินความพยายามฉีดวัคซีนอย่างขนานใหญ่กันตั้งแต่เนิ่นๆ
สำนักข่าวซินหัวยังอ้างคำแถลงของรัฐบาลท้องถิ่นเมืองอี้อูซึ่งกล่าวว่า ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าที่มีผู้คนและสินค้าเคลื่อนย้ายไปมาอย่างถี่ยิบ ตลอดจนมีชุมชนชาวต่างประเทศขนาดใหญ่พอดู ทางเมืองจึงมี “ความจำเป็นอย่างฉุกเฉินเร่งด่วน” ที่จะต้องได้วัคซีนเพิ่มมากขึ้นอีก สำหรับใช้ในโปรแกรมฉีดป้องกันนำร่อง ก่อนหน้าเมืองอื่นๆ เพื่อให้มีประสบการณ์สำหรับให้ที่อื่นๆ เดินตาม
ทว่าจวบจนกระทั่งถึงเวลานี้ ทางคณะกรรมการสาธารณสุขแห่งชาติยังคงถือหลักว่า “การให้วัคซีนแบบฉุกเฉิน” ควรครอบคลุมเฉพาะผู้คนในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เป็นต้นว่า เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์, เจ้าหน้าที่ควบคุมชายแดน, และผู้ทำงานที่มีความจำเป็นมากๆ ประเภทอื่น
เวลาเดียวกัน ซีโนฟาร์ม (SinoPharm) ซึ่งเป็นบริษัทรัฐวิสาหกิจ ได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการในสัปดาห์ที่แล้วต่อสำนักงานบริหารผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์แห่งชาติ (National Medical Products Administration) เพื่ออนุญาตให้วัคซีนของบริษัทสามารถเข้าสู่ตลาดได้อย่างฉุกเฉินเร่งด่วนตั้งแต่เดือนธันวาคมนี้
แต่ หลิว จิงเจิน (Liu Jingzhen) ประธานกรรมการของซิโนฟาร์ม ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงโต้แย้งกันดังสนั่น เมื่อเขาออกมาอวดอ้าง 1 สัปดาห์ก่อนหน้านั้นว่า ในหมู่อาสาสมัครและบุคลากรทางการแพทย์รวมแล้วมากกว่า 1 ล้านคนทั้งในจีนและในต่างประเทศซึ่งได้รับการฉีดวัคซีนตัวนี้ของบริษัทไปแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีรายใดเกิดผลข้างเคียงอย่างร้ายแรงให้เห็นกันชัดๆ เลย
เขาไม่ได้ให้รายละเอียดคำจำกัดความของซิโนฟาร์ม ในเรื่องผลข้างเคียงอย่างร้ายแรงที่ว่านี้ เมื่อถูกพวกผู้สื่อข่าวสอบถาม แล้วหลังจากนั้นไม่นาน กระทั่งโกลบอลไทมส์ สื่อแนวชาตินิยมก็ยังตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในบทความชิ้นหนึ่งซึ่งเผยแพร่สัปดาห์ที่แล้ว ระบุว่าพวกบริษัทผู้ผลิตยารายสำคัญๆ ทั้งหลาย ควรต้องมีความตรงไปตรงมามากขึ้นกว่านี้เกี่ยวกับการทดลองของพกวเขา ถ้าหากพวกเขามีความมั่นอกมั่นใจในวัคซีนของพวกเขากันจริงๆ
ในอีกด้านหนึ่งมีการเปิดเผยทางแอคเคาต์สื่อสังคม “วีแชต” ซึ่งบริหารจัดการโดยกระทรวงการต่างประเทศจีนว่า รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ก็ได้รับการฉีดวัคซีนก่อนที่เขาจะออกตระเวนเยือนต่างประเทศอย่างต่อเนื่องทั้งชาติต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ญี่ปุ่น, และเกาหลีใต้ นับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ หวัง ได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกกักกันโรค จากประเทศต่างๆ ที่เขาไปเยือนเหล่านี้ ทว่าเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำจีนคนใหม่ ทารุมิ ฮิเดโอะ (Tarumi Hideo) ต้องกักกันตัวเองเป็นเวลา 14 วันอยู่ในสถานเอกอัครราชทูตของเขา ภายหลังเดินทางถึงปักกิ่งตอนปลายเดือนพฤศจิกายน