เอเจนซีส์/เอเอฟพี/MGR ออนไลน์ - สื่อจีนรายงานชี้ถึงการที่ โจชัว หว่อง และเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีก 2 คนคือ อีวาน ลัม (Ivan Lam) และ แอสเนส โจว (Agnes Chow) ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำโดยที่ศาลไม่ยอมให้ประกันเมื่อวานนี้ (23 พ.ย.) แสดงให้เห็นถึงชัยชนะแห่งสันติภาพ เสถียรภาพ และหลักนิติรัฐ ล่าสุดฮ่องกงลากตัวผู้ต้องหาคนที่ 3 หม่า ชุน-หมั่น (Ma Chun-man) ขึ้นศาลภายใต้กฎหมายความมั่นคงติดหนวดก่อนส่งเข้าเรือนจำวันอังคาร (24 พ.ย.) ตาม 3 คนแรกไป
เอเอฟพีรายงานวันนี้ (24 พ.ย.) หลังจากที่แกนนำเรียกร้องประชาธิปไตยฮ่องกง โจชัว หว่อง และเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีก 2 คนคือ อีวาน ลัม (Ivan Lam) และ แอสเนส โจว (Agnes Chow) ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำระหว่างรอการตัดสินโทษที่จะมีขึ้นในวันที่ 2 ธ.ค.ที่จะถึงโดยที่ศาลไม่ให้ประกันอ้างอิงจากแอปเปิล เดลี สื่อฮ่องกง
บีบีซี สื่ออังกฤษชี้ว่า คนทั้งหมดถูกตั้งข้อหาในการเข้าร่วมการประท้วงฮ่องกงปีที่ผ่านมาในข้อหาการเป็นแกนนำ การปลุกปั่น และการเข้าร่วมการประท้วงผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม พบว่าในวันถัดมาฮ่องกงได้ส่งผู้ต้องหาคนที่ 3 ภายใต้กฎหมายความมั่นคงใหม่หม่า ชุน-หมั่น (Ma Chun-man)วัย 30 ปีขึ้นศาลในวันอังคาร (24) ก่อนที่จะถูกส่งเข้าเรือนจำตามเพื่อนๆไป
เอเอฟพีรายงานว่า หม่าถูกลากออกจากศาลในสภาพที่ตะโกนเรียกร้องประชาธิปไตยมีใจความว่า “บอกไปให้ทั่วๆประชาธิปไตยนั้นก่อตัวมาจากเลือดและหยาดเหงื่อ” ทั้งนี้เขาถูกดำเนินคดียุยงปลุกปั่นเพื่อให้เกิดการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเป็นหนึ่งในความผิดทางอาญาที่ถูกกำหนดขึ้นใหม่ในฮ่องกง
อัยการฮ่องกงชี้ว่า หม่าถูกตำรวจจับมาแล้วถึง 7 ครั้งระหว่างวันที่ 15 ส.ค. ถึงวันที่ 22 พ.ย. และเขายังกล่าวสโลแกนเรียกร้องให้ฮ่องกงเป็นเอกราชจากจีนอีกด้วย
ขณะที่ทนายของหม่ากล่าวว่า ลูกความเป็นพนักงานส่งอาหารที่เพิ่งตกงานเมื่อเดือนที่ผ่านมาและในเวลานี้เขาอาศัยอยู่ในบ้านของบิดามารดาร่วมกับน้องชาย
การขอประกันตัวหม่าถูกปฎิเสธเหมือนเช่นในกรณีของหว่องและเพื่อนและทำให้เขาต้องถูกส่งเข้าเรือนจำเพื่อรอการขึ้นศาลครั้งต่อไปในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เอเอฟพีชี้
ขณะที่โจชัว หว่อง รวมไปถึงลัมและโจวที่ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำนั้น หนังสือพิมพ์เซาท์มอร์นิง ไชน่าโพสต์ รายงานในวันจันทร์ (23) ว่า มีการแสดงหลักฐานมากมายซึ่งเป็นวิดีโอคลิปแสดงให้เห็นว่า หว่องกำลังกล่าวต่อหน้าผู้เข้าร่วมการชุมนุมผ่านเครื่องขยายเสียงบริเวณด้านนอกสำนักงานใหญ่ตำรวจฮ่องกงในย่านหว่านไจ๋ โดยหนึ่งในวิดีโอคลิปแสดงภาพหว่องกำลังตะโกนว่า เขาหวังว่าจะมีคนมากขึ้นมาเข้าร่วม ขณะที่อีกคลิปพบว่าหว่องประกาศว่าผู้ประท้วงเข้ายึดสำนักงานใหญ่ตำรวจฮ่องกงสำเร็จแล้ว
อัยการฮ่องกงระบุว่า หว่องได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทความเป็นผู้นำในการประท้วงฮ่องกงปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน และยังออกคำสั่งต่อผู้ประท้วงครั้งแล้วครั้งเล่า
ซึ่งในศาลเขตเกาลูนตะวันตกในวันจันทร์ (23) ในคดีการประท้วงเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. หว่องได้ยอมรับความผิดต่อข้อหาจัดการการรวมตัวที่ไม่ได้รับอนุญาต และการยุยงให้ผู้อื่นเข้าร่วมการประท้วง แต่อย่างไรก็ตามหว่องปฎิเสธไม่ยอมรับในความผิดรู้เห็นถึงการเป็นส่วนหนึ่งของการรวมตัวผิดกฎหมาย และในภายหลังได้อัยการฮ่องกงต้องยอมขอถอนข้อหานี้ออกไปเนื่องมาจากไม่มีหลักฐานแสดง หนังสือพิมพ์ฮ่องกงชี้
บีบีซี สื่ออังกฤษ รายงานว่า เนื่องมาจากเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเกิดก่อนหน้าที่ฮ่องกงจะประกาศบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงใหม่ทำให้หว่องรวมไปถึงลัมและโจวนั้นรอดพ้นจากการลงโทษด้วยโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต
หว่องเปิดเผยกับนักข่าวถึงสาเหตุที่เขาเปลี่ยนใจยอมรับสารภาพผิดต่อข้อกล่าวหาหลังจากได้ปรึกษาหารือกับทนายความแล้ว
“เราทั้งสามตัดสินใจยอมรับในความผิดทุกข้อกล่าวหา” หว่องกล่าวที่ด้านหน้าของศาลในวันจันทร์ (23) และกล่าวต่อว่า “มันจะไม่เป็นเรื่องน่าแปลกใจเลยหากว่าผมจะถูกส่งตัวเข้าเรือนจำทันทีในวันนี้”
ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่เขาจะถูกส่งตัวขึ้นศาลในวันจันทร์ (23) พบว่าในวันศุกร์ (20) โจชัว หว่อง เรียกร้องให้ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ โจ ไบเดน ทำการกดดันจีนทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจต่อไป
โดยในการขึ้นให้การต่อการประชุมวุฒิสภาอิตาลี หว่องกล่าวผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ว่า “ถึงเวลาสำหรับทั้งโลก โดยเฉพาะกับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ แทนทีจะรอคาดหวังในการเจรจาเพื่อตื่นจากฝันร้ายของจีน”
และเขากล่าวว่า “เรายังคงหวังว่า (ทางไบเดน) จะยังคงให้ความสนใจไปที่ฮ่องกง” และชี้ว่า “การสนับสนุนฮ่องกง (และการต่อสู้ของฮ่องกงเพื่อยืนหยัดจากการกดขี่ของจีน)ไม่สมควรเป็นเรื่องของขวาหรือซ้าย มันสมควรเป็นเรื่องผิดหรือถูก”
ในการขึ้นกล่าวหว่องยังเรียกฮ่องกงว่าเป็น “เบอร์ลินตะวันออก” ในสงครามเย็นยุคใหม่และเรียกร้องให้ประชาคมโลกป้องกันไม่ให้จีนเข้ารุกรานไต้หวัน
การที่โจชัว หว่อง ถูกนำตัวเข้าเรือนจำได้สำเร็จถือเป็นข่าวดีในสายตาของจีน โดยบทบรรณาธิการของสื่อจีน cgtn รายงานวันนี้ (24) ได้แสดงความเห็นว่า การตกต่ำของหว่องครั้งล่าสุดถือเป็นชัยชนะแห่งสันติภาพ เสถียรภาพ และหลักนิติรัฐ
Cgtn เรียกหว่องวัย 24 ปีว่าเป็นนักปลุกปั่นการจลาจลฮ่องกงได้ยอมจำนนด้วยการสารภาพยอมรับในความผิดต่อข้อหาการรวมตัวผิดกฎหมายในการประท้วงฮ่องกงปีที่ผ่านมา
และถึงแม้ว่าหว่องจะไม่ได้ถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมายความมั่นคงใหม่จีนแต่ทว่าเขาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาความมั่นคงชาติมานานแล้วต่อการทำให้เสถียรภาพของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงตกอยู่ในอันตราย
สื่อจีนชี้ว่า การยอมรับความผิดของหว่องและโทษจำคุกที่รออยู่ตรงหน้านั้นถือเป็นชัยชนะต่อสันติภาพและเสถียรภาพในฮ่องกงอย่างไม่ต้องสงสัย รวมไปถึงระบบยุติธรรมและหลักความเป็นนิติรัฐซึ่งต่างจากกฎม็อบอย่างเห็นได้ชัด
ความผิดข้อหา 1 การแบ่งแยกดินแดน และการกีดกันทางเชื้อชาติ
โจชัว หว่อง พูดจามากมายเกี่ยวกับประชาธิปไตยแต่ทว่าหัวใจของการเคลื่อนไหวต่อต้านทั้งหมดของเขานั้นอยู่ที่ว่าฮ่องกงสมควรที่ต้องถูกแบ่งแยกและเป็นเอกเทศ สื่อโลกตะวันตกกลับยกย่องให้เขาเป็นผู้กล้า
แต่ทว่าในความเป็นจริงหว่องไม่ให้ความสำคัญต่อการเมืองจีนแผ่นดินใหญ่และคนจีนแผ่นดินใหญ่ แสดงให้เห็นได้จากเมื่อการระบาดโควิด-19เกิดขึ้นหว่องใช้โซเชียลมีเดียแสดงความเหยียดหยามชาวจีนแผ่นดินใหญ่ว่าเป็นพวกกินค้างคาว และพยายายามใช้ไวรัสโคโรนาเป็นเครื่องมือเพื่อตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างให้ขาดจากจีนแผ่นดินใหญ่
ความผิดข้อ 2 สมคบคิดต่างชาติ
สื่อจีนชี้ว่า โจชัว หว่อง ใช้ทุกโอกาสที่มีในการสมคบคิดและยุยงร่วมกับชาติมหาอำนาจต่างชาติเพื่อบั่นทอนอำนาจอธิปไตยปักกิ่งในดินแดนฮ่องกง พบว่าเขาทำกระทั่งเดินทางไปถึงสหรัฐฯหลายโอกาสเพื่อล็อบบี้ให้กับข้อเรียกร้องทางการเมืองของตัวเองและยังออกมาเรียกร้องให้คว่ำบาตรต่อผู้มีอำนาจและรัฐบาลกลางจีนแผ่นดินใหญ่ เข้าพบคนสำคัญของวอชิงตัน เช่น ประธานสภาคองเกรสสหรัฐฯ แนนซี เพโลซี ส.ว.รัฐฟลอริดาพรรครีพับลิกัน มาร์โก รูบิโอ และยังมีการสื่อสารทางโทรศัพท์อย่างคุ้นเคยกับ ส.ว.โจชัว ฮอว์ลีย์ (Joshua Hawley)
และจากการรายงานของหนังสือพิมพ์ฮ่องกง เซาท์มอร์นิง ไชน่าโพสต์ พบว่า องค์กรอื้อฉาวของหว่องนั้นมีบัญชีธนาคารอยู่ในสหรัฐฯเพื่อปกป้องเงินของตัวเองหากเกิดอะไรขึ้นในฮ่องกง
หว่องได้พบกับบรรดาผู้นำของยุโรปแต่ไม่ประสบความสำเร็จในการล็อบบี้เพื่อให้มีมาตรการต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง ซึ่งจากทั้งหมดดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงการแทรกแซงอย่างรับไม่ได้ในกิจการภายในของประเทศ
ความผิดข้อ 3 ความรุนแรงและการจลาจล
Cgtn ชี้ไปว่า ในขณะที่สร้างความปั่นป่วนมาจากภายนอกประเทศ โจชัว หว่อง แน่นอนที่สุดได้สร้างปัญหาขึ้นในบ้าน ใช้ทุกหนทางเท่าที่มีเพื่อโปรโมทความไม่สงบและการจลาจลในเมือง (ฮ่องกง) ทำให้ทุกชีวิตตกอยู่ในอันตรายรวมไปถึงยังทำให้ฮ่องกงกลายเป็นอัมพาต
ซึ่งเป็นที่น่าฉงนว่าในการประชุมที่จัดโดยนิตยสารดิอีโคโนมิสต์ชื่อดังเมื่อปี 2019 หว่องปฎิเสธที่จะประณามความรุนแรงภายในงานเมื่อเขาถูกถามโดย ฉวน เรน (Shaun Rein)
ดังนั้นแล้วการถูกสั่งดำเนินคดีด้วยข้อหาการรวมตัวผิดกฎหมาย (illegal assembly) ที่หว่องยอมรับผิดแสดงได้ถึงการจัดการและการเข้าร่วมในการประท้วงที่ไม่ได้รับการอนุมัติจากตำรวจ และดังนั้นแล้วจึงแสดงให้เห็นว่าเป็นภัยต่อความปลอดภัยของสาธารณะ แต่แน่นอนที่สุดมันไม่ใช่ครั้งแรกของหว่องในการถูกจับกุมถึงการกระทำเช่นนี้ และได้เคยถูกจำคุกมาแล้วในช่วงการเคลื่อนไหวการประท้วงร่มเหลืองเมื่อปี 2014
และจากสิ่งนี้วันพิพากษาของโจชัว หว่อง จึงมีความหมายต่อชัยชนะของเมืองฮ่องกง เสถียรภาพและสันติภาพได้ปรากฎขึ้น ซึ่งนี่ไม่ใช้เป็นคำสั่งมาจากปักกิ่งเหมือนอย่างที่เขาชอบกล่าวอ้างแต่เป็นหลักการนิติรัฐที่มาจัดการตัวแกนนำความเคลื่อนไหวที่ร้ายกาจที่ต้องการทำให้ฮ่องกงตกอยู่ในเปลวเพลิง ความไม่สงบ และทำให้เกิดจลาจลนานเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งสิ่งที่สื่อโลกตะวันตกที่เคยเชิดชูว่าเป็นการเคลื่อนไหวแบบนักบุญยกคุณค่าด้านสิทธิมนุษยชนแต่ในความเป็นจริงเป็นม็อบกฎหมู่ที่จะทำทุกอย่างจนกว่าข้อเรียกร้องจะถูกตอบสนอง และในเวลานี้โอกาสได้มาปรากฏตรงหน้าฮ่องกงที่จะสามารถลืมเหตุการณ์ที่น่าโหดร้ายเพื่อให้ชีวิตได้กลับคืนสู่ปกติสุข