ว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประกาศในวันเสาร์ (7 พ.ย.) ว่าจะลงมือปฏิบัติการในทันทีเพื่อควบคุมวิกฤตการณ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ในสหรัฐฯ พร้อมส่งสัญญาณว่าวิทยาศาสตร์จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการตอบโต้โรคระบาดใหญ่นี้ของประเทศ ทันทีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกไปจากทำเนียบขาว
คำมั่นสัญญาเช่นนี้ของไบเดน ซึ่งให้ไว้ระหว่างการกล่าวปราศรัยต่อประเทศครั้งแรกของเขาภายหลังมีชัยชนะเหนือทรัมป์ มีขึ้นหลังจากช่วง 3 วันที่มีเคสติดเชื้อใหม่พุ่งสูงทำสถิติอย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ ขณะยอดผู้เสียชีวิตทั่วประเทศก็ทะลุหลัก 237,000 คน
พวกที่วิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ ประณามว่าการที่อเมริกาครองแชมป์โลกอยู่เป็นแรมเดือนทั้งในเรื่องจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมและยอดผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายนี้ เนื่องมาจากการตอบโต้รับมือของประธานาธิบดีพรรครีพับลิกันผู้นี้เป็นไปอย่างสับสนอลหม่าน โดยจะพบเห็นทั้งการที่เขาดิสเครติดพวกผู้เชี่ยวชาญโรคติดเชื้อระดับท็อปของสหรัฐฯ, การไม่ส่งเสริมและกระทั่งท้าทายเรื่องการสวมหน้ากากป้องกัน, ตลอดจนการขึ้นปราศรัยหาเสียงที่มีผู้คนมารวมตัวรับฟังอย่างแน่นหนาเป็นจำนวนมากๆ
ณ งานปราศรัยประกาศชัยชนะของไบเดน ซึ่งจัดขึ้นโดยมีการปฏิบัติตามคำแนะนำเรื่องการเว้นระยะห่างสังคม ที่เมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ ศูนย์บัญชาการการหาเสียงเลือกตั้งของเขา ว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกาผู้นี้ประกาศว่า ในวันจันทร์ (9) นี้ จะแต่งตั้งเหล่านักวิทยาศาสตร์ระดับท็อปเข้าอยู่ในทีมงานเฉพาะกิจต่อสู้ไวรัสโคโรนาของเขา
“ในวันจันทร์ ผมจะประกาศรายชื่อนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญชั้นนำ ให้มาเป็นที่ปรึกษาในการถ่ายโอนอำนาจ เพื่อช่วยรับเอาแผนการของทีมไบเดน- (คามาลา) แฮร์ริส และเปลี่ยนให้กลายเป็นพิมพ์เขียวเพื่อการปฏิบัติจริงๆ ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่ (วันทำพิธิสาบานตัวรับตำแหน่งของประธานาธิบดีคนใหม่ใน) วันที่ 20 มกราคม 2021” ไบเดนบอกกับกลุ่มผู้สนับสนุน โดยที่มีการถ่ายทอดทีวีออกไปทั่วประเทศ
ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกัน เขาก็ได้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนที่เขาให้แก่เรื่องการต่อสู้เอาชนะโรคระบาดใหญ่นี้
“ผมต้องการให้ทุกๆ คน ทุกๆ คนเลย ได้รับทราบว่าตั้งแต่วันแรกทีเดียว เราจะนำเอาแผนการของเราในการควบคุมไวรัสนี้ออกมาสู่การปฏิบัติการ” ไบเดนพูดตั้งแต่ก่อนหน้าที่พวกสื่อใหญ่ในสหรัฐฯทุกเจ้า ประกาศฟันธงขานชื่อเขาเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งคราวนี้ด้วยซ้ำ
ไม่เหมือนกับไบเดน ก่อนหน้าวันเลือกตั้ง 3 พฤศจิกายน ทรัมป์จัดงานปราศรัยหาเสียงขนาดใหญ่เรื่อยมา อีกทั้งยืนกรานเสียงแข็งว่า สหรัฐฯกำลังอยู่ในช่วงที่จะหลุดพ้นวิกฤตนี้แล้ว ทั้งๆ ที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่กลับกำลังพุ่งพรวด
ยุโรปกลายเป็นศูนย์กลางโรคระบาดอีกครั้ง
สำหรับจำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 สะสมในทั่วโลกนั้น เวลานี้พุ่งทะลุผ่านหลัก 49 ล้านคนไปแล้ว โดยที่ในระยะไม่กี่สัปดาห์หลังๆ นี้ ยุโรปกำลังกลายเป็นศูนย์กลางของโรคระบาดนี้อีกครั้งหนึ่ง
กรีซกลายเป็นชาติยุโรปรายล่าสุดที่เข้าสู่การล็อกดาวน์กันอีกครั้งตั้งแต่วันเสาร์ (7) โดยที่ประชาชนในกรีซจะออกจากบ้านได้ก็ต่อเมื่อส่งคำขอผ่านโทรศัพท์มือถือ และได้รับอนุญาตแล้วเท่านั้น ถึงแม้ร้านค้าที่จำหน่ายสินค้าจำเป็น อย่างเช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านขายยา ยังคงเปิดทำการได้ต่อไป ส่วนร้านทำผมสามารถเปิดอีก 2 วันเท่านั้น และต่างแจ้งว่ามีคนจองคิวกันเต็มแล้ว
มาตรการเหล่านี้เกิดขึ้นตามหลังการประกาศบังคับเข้มงวดในชาติยุโรปอื่นๆ ทั้งที่อิตาลี, ฝรั่งเศส, ไอร์แลนด์, และสหราชอาณาจักร ขณะที่เยอรมนี และอีกหลายชาติ ก็มีการประกาศใช้มาตรการใหม่ๆ เหมือนกัน
สหราชอาณาจักรตั้งแต่วันเสาร์ (7) สั่งห้ามชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ผู้มีถิ่นฐานถาวรทั้งหมด ซึ่งเดินทางมาจากเดนมาร์กเข้าประเทศ ภายหลังมีการพบเชื้อไวรัสโคโรนาเวอร์ชั่นกลายพันธุ์ ที่โยงใยกับฟาร์มเลี้ยงตัวมิงค์ ในผู้คนหลายรายในประเทศนั้น
ในฝรั่งเศส ซึ่งจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วจนส่งแรงกดดันโรงพยาบาลต่างๆ มีรายงานผู้เสียชีวิตรายใหม่ๆ จากโควิด-19 จำนวน 306 ราย ทำให้ยอดรวมสะสมทะลุหลัก 40,000 คน
เยอรมนีก็รายงานตัวเลขรายวันทำสถิติใหม่ๆ เมื่อวันเสาร์ (7) โดยพบเคสใหม่ 23,399 คน และมีผู้เสียชีวิต 130 คน
อย่างไรก็ดี พวกผู้เดินขบวนซึ่งน้อยคนนักที่สวมหน้ากากป้องกัน ได้ออกมาประท้วงต่อต้านมาตรการเข้มงวดที่บังคับใช้ใหม่ๆ ที่เมืองไลป์ซิก ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออกของเยอรมนี ทางผู้จัดอ้างว่ามีผู้เข้าร่วม 20,000 คน ขณะที่ตำรวจบอกว่ามีบางคนเข้าทำร้ายตำรวจภายหลังถูกสั่งให้แยกย้ายกันไป
ผู้เดินขบวนบางคนบอกกับนักข่าวว่า มาตรการเข้มงวดเหล่านี้ทำให้ผู้คนเดือดร้อน เศรษฐกิจพังพินาศ ขณะที่บางคนกล่าวว่าไวรัสไม่ได้มีอยู่จริง แต่รัฐบาลหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นแรงจูงใจ เพื่อแอบทำอะไรบางอย่างแบบลับๆ
มีรายงานด้วยว่าผู้เดินขบวนกับตำรวจได้เกิดปะทะกันในหลายๆ ส่วนของอิตาลี และสาธารณรัฐเช็กในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้
(ที่มา: เอเอฟพี, เอเจนซีส์)