นายกรัฐมนตรีสเปนในวันเสาร์ (31 ต.ค.) แถลงประณามเหตุประท้วงรุนแรงหลายจุดตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศ ระหว่างการชุมนุมต่อต้านข้อจำกัดต่างๆ ที่กำหนดออกมาเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกสอง หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินรอบใหม่ เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่แล้ว
พวกผู้ประท้วงขว้างปาก้อนหินและข้าวของอื่นๆ เข้าใส่ตำรวจ ระหว่างการชุมนุมในบาร์เซโลนา ในสถานการณ์ความโกลาหลคืนที่ 2 ภายในเมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของสเปนแห่งนี้
ตำรวจรายงานด้วยว่า ที่เมืองโลโกรโน ทางภาคเหนือของสเปน ประชาชนราว 150 คนเล่นงานตำรวจด้วยก้อนหิน จุดไฟเผาถังขยะและปล้นสะดมร้านค้าต่างๆ นอกจากนี้ ตำรวจปลาบจลาจลยังถูกส่งเข้าสยบเหตุความวุ่นวายที่เมืองฮาโร แคว้นลาริโอฆา ด้วยเช่นกัน
เปโดร ซานเชซ นายกรัฐมนตรีสเปน เขียนบนทวิตเตอร์ว่า “มีเพียงความรับผิดชอบ ความเป็นหนึ่งเดียวกันและความเสียสละเท่านั้นที่จะช่วยให้เราสามารถเอาชนะโรคระบาดใหญ่ที่กำลังทำลายล้างทุกประเทศ เราจะไม่อดทนกับพฤติกรรมความรุนแรงและไม่มีเหตุผลของคนกลุ่มน้อย”
เมื่อวันศุกร์ (30 ต.ค.) พวกผู้ประท้วงราว 50 คนโจมตีตำรวจด้วยก้อนหินที่เมืองบาร์เซโลนา จุดไฟเผาถังขยะและปล้นสะดมร้านค้า กระตุ้นให้ทางเจ้าหน้าที่ต้องทำการเข้ารวบตัว และสามารถจับกุมไปได้ 14 คน และบาดเจ็บ 30 คน
ก่อนหน้านี้ ตำรวจท้องถิ่นเผยว่ามีพนักงานโรงแรมและร้านอาหารราว 1,500 คนเข้าร่วมการชุมนุมอย่างสันติ ต่อต้านข้อจำกัดต่างๆ ภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยคนเหล่านี้อ้างว่ามันคุกคามหน้าที่การงานของพวกเขา
เสียงคร่ำครวญดังกล่าวมีขึ้นหลังจากบาร์และร้านอาหารทั้งหมดในแคว้นกาตาลุญญา ในนั้นรวมถึงเมืองบาร์เซโลนา ถูกสั่งปิดบริการไปจนถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน
ความวุ่นวายแบบเดียวกันยังเกิดขึ้นตามเมืองอื่นๆ เช่น บูร์กอส, วิตอเรีย, ซานตาแดร์, บาเลนเซีย และโซราโกซาในวันศุกร์ (30 ต.ค.)
สเปน เคยกำหนดมาตรการล็อกดาวน์เข้มข้นที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ในช่วงต้นๆ ของการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่ แต่จากนั้นก็ผ่อนคลายข้อจำกัดต่างๆ ลงในช่วงฤดูร้อน
อย่างไรก็ตาม สเปนก็เหมือนบรรดาชาติยุโรปหลายประเทศที่ถูกโควิด-19 ระลอกสองเล่นงานในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และตอนนี้กลายเป็นหนึ่งในชาติที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อมากที่สุดในยุโรปตะวันตก โดยยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่กว่า 1.2 ล้านคน และเสียชีวิตราว 36,000 คน
เช่นเดียวกับหลายในประเทศในยุโรป สเปนเลือกหนทางยกระดับความเข้มข้นของมาตรการต่างๆ อีกรอบ เพื่อสกัดการแรพ่ระบาด แต่ยังถือว่าเข้มงวดน้อยกว่าในเยอรมนีหรือฝรั่งเศส
(ที่มา : รอยเตอร์)