รัฐบาลกาตาร์ออกคำแถลงเสียใจในวันนี้ (28 ต.ค.) กรณีเจ้าหน้าที่สนามบินบังคับตรวจร่างกายผู้โดยสารหญิงแบบรุกล้ำ เพื่อค้นหาร่องรอยของการคลอดบุตร หลังพบทารกคลอดก่อนกำหนดถูกทิ้งเอาไว้ในห้องน้ำของสนามบินนานาชาติฮามาดเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ผู้โดยสารหญิงหลายคนบนเที่ยวบินกาตาร์แอร์เวย์สที่จะมุ่งหน้าสู่นครซิดนีย์ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสั่งให้ลงจากเครื่อง และโดนบังคับตรวจช่องคลอด หลังจากที่มีการพบทารกถูกทิ้งไว้ในห้องน้ำของสนามบิน
“แม้คำสั่งตรวจค้นอย่างเร่งด่วนจะเป็นไปเพื่อป้องกันผู้กระทำความผิดหลบหนี แต่รัฐบาลกาตาร์ก็รู้สึกเสียใจหากการกระทำนี้ได้ล่วงละเมิดเสรีภาพ หรือสร้างความไม่สบายใจให้แก่ผู้โดยสาร” ถ้อยแถลงซึ่งเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของรัฐบาลระบุ
ชัยค์ คอลิด บิน คอลีฟา บิน อับดุลอาซิซ อัษ-ษานี นายกรัฐมนตรีกาตาร์ ย้ำว่ารัฐบาลจะดำเนินการสอบสวนเรื่องนี้ “อย่างครอบคลุมและตรงไปตรงมา” พร้อมยืนยันว่ากาตาร์ “ใส่ใจสวัสดิภาพ ความปลอดภัย และความสะดวกสบายของผู้โดยสารทุกคนที่ใช้ประเทศของเราเป็นทางผ่าน”
เหตุการณ์นี้ได้จุดชนวนข้อพิพาทการทูตระหว่างออสเตรเลียและกาตาร์ โดยรัฐบาลแคนเบอร์ราได้ยื่นหนังสือประท้วงต่อแนวปฏิบัติซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิพลเมืองออสซี่
ล่าสุดยังมีรายงานว่า คำสั่งตรวจค้นในวันนั้นส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารหญิงบนเครื่องบินถึง 10 ลำ
มารีส เพย์น รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย แถลงต่อรัฐสภาในวันนี้ (28) ว่า มีผู้โดยสารหญิงบน 10 เที่ยวบินถูกเจ้าหน้าที่กาตาร์บังคับตรวจช่องคลอด ซึ่งเป็นการกระทำที่ “รับไม่ได้” และ “ไม่ให้เกียรติกันอย่างยิ่ง”
เพย์น ให้รายละเอียดว่ามีผู้หญิงทั้งหมด 18 คนบนเที่ยวบินสู่ซิดนีย์ในวันที่ 2 ต.ค. ที่ถูกจับตรวจช่องคลอด ในนั้นเป็นพลเมืองออสเตรเลีย 13 คน ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพีระบุว่ามีสตรีชาวฝรั่งเศสอยู่ด้วย 1 คน
เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบไม่น้อยต่อความพยายามของรัฐบาลกาตาร์ที่จะโปรโมตภาพลักษณ์ของประเทศ ก่อนการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2022
ที่ผ่านมารัฐบาลโดฮาได้ทุ่มงบอุดหนุนมหาศาลให้กับสายการบินแห่งชาติ, สถานีโทรทัศน์อัลญาซีเราะห์ รวมไปถึงโครงการเพื่อสังคมต่างๆ เช่น การส่งเสริมการศึกษาและสุขภาวะของสตรี เป็นต้น แต่ด้วยความที่เป็นชาติมุสลิม การมีเพศสัมพันธ์หรือมีบุตรนอกสมรสจึงยังถือเป็นความผิดอาญาที่มีโทษจำคุก
ที่มา: เอเอฟพี
