รัฐบาลกลางสหรัฐฯจับมือกับ 11 รัฐ ยื่นฟ้อง “กูเกิล” ต่อศาลในข้อหาผูกขาดการค้นหาทางออนไลน์ และการโฆษณาทางออนไลน์อย่างผิดกฎหมาย กลายเป็นคดีต่อต้านการผูกขาดครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ และอาจส่งผลทำให้บริษัทไฮเทคยักษ์ใหญ่จากซิลิคอนแวลลีย์แห่งนี้ต้องแตกกิจการ
คดีที่มีความพัวพันเกี่ยวข้องกับการเมืองคดีนี้ อาจใช้เวลาพิจารณาไต่สวนกันนานหลายปี แต่ก็เป็นการเปิดแนวรบใหม่ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับเหล่าบริษัทบิ๊กเทคที่มีนัยสำคัญอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี
เจฟฟรีย์ โรเซน รัฐมนตรีช่วยกระทรวงยุติธรรม แถลงเมื่อวันอังคาร (20 ต.ค.) ว่า คดีนี้ที่ทางกระทรวงฟ้องร้องร่วมกับอัยการสูงสุดจาก 11 รัฐที่บริหารโดยพรรครีพับลิกัน มีเป้าหมายที่ทำลายการครอบงำระบบนิเวศออนไลน์ของกูเกิล
เอกสารคำฟ้องระบุว่า กูเกิลผูกขาดธุรกิจด้วยข้อตกลงพิเศษ ซึ่งรวมถึงข้อตกลงระยะยาวที่อุปกรณ์ของบริษัทต่างๆ จะต้องโหลดแอปกูเกิล เสิร์ชล่วงหน้า และไม่สามารถลบบางแอปของกูเกิลออก
บิลล์ บาร์ รัฐมนตรียุติธรรม ระบุว่า เจ้าหน้าที่สอบสวนพบว่า กูเกิลไม่ได้แข่งขันด้วยคุณภาพ แต่จ่ายเงินหลายพันล้านดอลลาร์ให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนอย่างแอปเปิล และซัมซุง รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อให้ติดตั้งเสิร์ชเอนจินของบริษัทเป็นค่าเริ่มต้นบนอุปกรณ์ จึงเท่ากับเป็นการส่งเสริมสถานะการผูกขาดของตนเอง ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกน้อยลง และขัดขวางการพัฒนานวัตกรรม
คำฟ้องที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นของสหรัฐฯในกรุงวอชิงตันยังอ้างว่า การกระทำของกูเกิลเป็นการกีดกันคู่แข่ง และเสนอวิธีแก้ไขหลายประการให้ศาลพิจารณา และขอให้ศาลบังคับให้กูเกิลยุติการดำเนินการที่ต่อต้านการแข่งขัน รวมทั้งพิจารณาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัทแห่งนี้ ซึ่งอาจหมายถึงการแตกกิจการ
ด้าน เคนต์ วอลเกอร์ ที่ปรึกษาใหญ่ของกูเกิล ตอบโต้ว่า การฟ้องร้องนี้เป็นการดำเนินการที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง และยืนยันว่า ผู้บริโภคเลือกที่จะใช้กูเกิลเอง ไม่ได้ถูกบังคับและไม่ใช่เพราะไม่มีตัวเลือก
วอลเกอร์เสริมว่า การฟ้องร้องนี้ไม่ได้ส่งผลดีต่อผู้บริโภค แต่เป็นการอุ้มตัวเลือกการค้นหาออนไลน์คุณภาพต่ำ กระตุ้นให้ค่าโทรศัพท์แพงขึ้น และสร้างปัญหาสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการใช้บริการค้นหาออนไลน์
การฟ้องร้องนี้มีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลสหรัฐฯ และหน่วยงานป้องกันการผูกขาดของรัฐต่างๆ พยายามตรวจสอบอิทธิพลของกูเกิล และยังเกิดขึ้นพร้อมกับการสอบสวนบริษัทไฮเทคชั้นนำอื่นๆ เช่น แอมะซอน เฟซบุ๊ก และแอปเปิล
นับเป็นเรื่องหาได้ยาก ที่พวกนักการเมืองอเมริกันคนละขั้วกลับมีความเห็นพ้องกันในการเล่นงานกูเกิลและบริษัทเทครายยักษ์อื่นๆ โดยพวกนักการเมืองหัวก้าวหน้าของพรรคเดโมแครตกล่าวหาว่า บริษัทเหล่านี้กีดกันการแข่งขัน และทำให้ความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจเลวร้ายลง โดยที่รายงานเมื่อเร็วๆ นี้ ของสภาผู้แทนราษฎรบ่งชี้ว่า ควรแตกกิจการกูเกิลและบริษัทอื่นๆ เพื่อปกป้องการแข่งขัน ขณะเดียวกันนักการเมืองสายอนุรักษนิยม โดยเฉพาะของรีพับลิกัน ก็กล่าวหาโดยไม่แสดงหลักฐานว่า บริษัทเหล่านี้มีอคติทางการเมือง
โรเซนสำทับว่า การฟ้องร้องครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น และรัฐบาลจะยังคงตรวจสอบแนวทางการแข่งขันของแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำต่างๆ ต่อไป
กูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของอัลฟาเบต ดำเนินการเสิร์ชเอนจินที่คนส่วนใหญ่ทั่วโลกใช้ รวมถึงบริการที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย เช่น แผนที่ อีเมล โฆษณา และช้อปปิ้ง อีกทั้งยังเป็นผู้ดำเนินการ “แอนดรอยด์” ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ที่ติดตั้งอยู่ในสมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ทั่วโลก
กูเกิลเพิ่งถูกสหภาพยุโรป (อียู) สั่งปรับหลายพันล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว ด้วยความผิดฐานมีพฤติการณ์ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และกำลังอุทธรณ์คดีเหล่านั้นโดยยืนยันว่า บริษัทไม่ได้ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด
สำหรับ อิริก โกลด์แมน ผู้อำนวยการสถาบันกฎหมายไฮเทคของมหาวิทยาลัยซานตาคลารา แสดงความเห็นว่า การฟ้องร้องของรัฐบาลอเมริกาถือเป็นมาตรฐานที่ดี แต่ดูเหมือนมีแรงจูงใจจากการเป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองของคณะบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อบริษัทไฮเทคยักษ์ใหญ่ และอาจจบลงด้วยการที่อุตสาหกรรมนี้เติบโตก้าวหน้าเร็วกว่ากระบวนการฟ้องร้อง
คดีนี้ถือเป็นคดีใหญ่ที่สุดนับจากการฟ้องร้องไมโครซอฟท์ในปี 1998 และอาจเป็นบททดสอบการฟ้องร้องกรณีการผูกขาดตลาด
หากต้องการเป็นฝ่ายชนะ รัฐบาลจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมการผูกขาด
ชาร์ล็อตต์ สไลแมน จากกลุ่มผู้บริโภค พับลิก โนว์เลดจ์ ระบุว่า การฟ้องร้องนี้เป็นก้าวสำคัญก้าวแรกที่จะนำไปสู่นวัตกรรมเสิร์ชเอนจินที่มีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง รวมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีขึ้นและแข่งขันกันอย่างเป็นธรรม
ทว่า กูเกิลอาจโต้แย้งว่า ผู้บริโภคได้ประโยชน์จากบริการฟรีของบริษัท แม้คู่แข่งบางรายอาจเสียเปรียบก็ตาม
แมตต์ ชรูเออร์ส จากสมาคมอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และการสื่อสารที่กูเกิลเป็นสมาชิก กล่าวว่า ดูเหมือนการฟ้องร้องที่เร่งรีบนี้ต้องการสร้างภาพว่า คณะบริหารกดดันอย่างแข็งกร้าวต่อบริษัทไฮเทคก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่วัน
เอเวอรี การ์ดิเนอร์ อดีตทนายความที่บังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดและวิจัยเกี่ยวกับการแข่งขันทางธุรกิจให้กับศูนย์เพื่อประชาธิปไตยและเทคโนโลยี ชี้ว่า รัฐบาลเจอศึกหนักในการพิสูจน์ว่า กูเกิลทำร้ายผู้บริโภค และทิ้งท้ายว่า การฟ้องร้องนี้มองข้ามประเด็นราคา แต่โฟกัสที่คุณภาพและนวัตกรรมเท่านั้น
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์)