ขีปนาวุธขนาดยักษ์แบบใหม่ ที่เกาหลีเหนือนำออกมาโชว์ในพิธีตรวจพลสวนสนามเมื่อวันเสาร์ (10 ต.ค.) ที่ผ่านมา คือการข่มขู่คุกคามอย่างโจ่งแจ้งต่อความสามารถในการป้องกันของสหรัฐฯ และก็เป็นการท้าทายอย่างอ้อมๆ ต่อประธานาธิบดีอเมริกันทั้งคนปัจจุบันและถัดจากนี้ พวกนักวิเคราะห์ให้ความเห็นพร้อมกับเตือนด้วยว่า เปียงยางอาจทำการทดสอบอาวุธชนิดนี้ในปีหน้า
คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เป็นประธานเฝ้าชมขีปนาวุธทิ้งตัวข้ามทวีป (intercontinental ballistic missile ใช้อักษรย่อว่า ICBM) ชนิดนี้ เคลื่อนผ่านไปตามจัตุรัสคิม อิลซุง (ซึ่งตั้งชื่อตามนามของปู่ของเขา ที่เป็นผู้ก่อตั้งประเทศเกาหลีเหนือ) ในกรุงเปียงยาง ถือเป็นจุดไคลแม็กซ์ของการตรวจพลสวนสนามคราวนี้ ซึ่งจัดขึ้นในเวลากลางคืน อันเป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในหมู่นักวิเคราะห์ปรากฏความเห็นพ้องร่วมกันขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า นี่คือขีปนาวุธชนิดใช้เชื้อเพลิงเหลวที่สามารถเคลื่อนย้ายไปตามถนนได้ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดไม่ว่าจะเปรียบเทียบกับของประเทศไหนๆ ในโลก รวมทั้งน่าจะเป็นไปได้มากที่มันถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถบรรทุกหัวรบหลายๆ หัวรบ ซึ่งแต่ละหัวรบสามารถแยกย้ายแล่นไปสู่เป้าหมายได้อย่างอิสระ (multiple warheads in independent re-entry vehicles หรือ MIRVs)
เจฟฟรีย์ ลิวอิส (Jeffrey Lewis) แห่ง สถาบันมิดเดิลบิวรีเพื่อการระหว่างประเทศศึกษา (Middlebury Institute of International Studies) บอกว่า ขีปนาวุธนี้ “มีจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนที่จะทำให้มันทรงพลังจนเกินกว่าที่ระบบต่อสู้ขีปนาวุธของสหรัฐฯ ในรัฐอะแลสกาจะยับยั้งสกัดกั้นได้”
เขาอธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ในข้อความที่โพสต์ทางทวิตเตอร์ว่า เนื่องจากเกาหลีเหนือจะสิ้นค่าใช้จ่ายถูกกว่ามากในการเพิ่มหัวรบ เมื่อเปรียบเทียบกับการที่สหรัฐฯจะเพิ่มตัวจรวดสกัดกั้นของระบบต่อสู้ขีปนาวุธ
ถ้าหากขีปนาวุธ ICBM นี้แต่ละลูก บรรทุกหัวรบจำนวน 3 หรือ 4 หัวรบ สหรัฐฯ ก็จำเป็นต้องยิงจรวดตัวสกัดกั้นขึ้นไปปราบ ราว 12-16 ลูก ซึ่งสิ้นค่าใช้จ่ายรวมประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์
“ด้วยค่าใช้จ่ายระดับนี้ ผมจึงแน่ใจเหลือเกินว่าเกาหลีเหนือสามารถที่จะเพิ่มหัวรบได้อย่างรวดเร็วกว่าที่เราสามารถเพิ่มจรวดตัวสกัดกั้น”
ขณะที่ ผู้ชำนาญการอย่างมาร์คุส ชิลเลอร์ (Markus Schiller) ให้ข้อมูลในอีกมุมหนึ่งว่า ขีปนาวุธใหม่ของเกาหลีเหนือนี้ประมาณการกันว่าลำตัวมีความยาว 24 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 เมตร ซึ่งใหญ่เพียงพอที่จะบรรทุกเชื้อเพลิงเหลวราว 100 ตัน ที่จะต้องใช้เวลาในการเติมเชื้อเพลิงหลายชั่วโมงทีเดียว
เขาให้ความเห็นต่อไปว่า มันมีขนาดใหญ่มากและหนักมาก จนกระทั่งอาจจะใช้ไม่ได้ในทางปฏิบัติ โดยเขาชี้ว่า หากเติมเชื้อเพลิงเหลวเข้าไปแล้ว เจ้าสิ่งนี้ก็ไม่สามารรถเคลื่อนย้ายได้ ขณะที่จะเติมเชื้อเพลิงกันตรงจุดที่จะใช้ยิง ก็เสี่ยงต่อการตกเป็นเป้าหมายถูกโจมตีเสียก่อน
“เจ้าสิ่งนี้มันไม่สมเหตุสมผลเอาเลยอย่างสิ้นเชิง ยกเว้นแต่ในกรณีเพื่อใช้ในเกมสมการข่มขู่คุกคาม อย่างเช่นเพื่อส่งข้อความว่า ‘เวลานี้เรามี ICBM ที่ติดตั้ง MIRVs แบบเคลื่อนที่ได้แล้วนะ จงรู้สึกหวาดผวาให้มากๆ เถอะ’ ”
พวกนักเฝ้าจับตามองเกาหลีเหนือปกติแล้วจะระมัดระวังตัวในเรื่องที่ว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ซึ่งเปียงยางนำออกมาโชว์ในการสวนสนามของตน อาจจะเป็นแค่โมเดลจำลองหรือของหลอกๆ และเห็นกันว่ายังไม่มีข้อพิสูจน์ว่ามันทำงานได้จนกว่าจะมันจะถูกยิงทดสอบแล้ว
แต่ในครั้งนี้ ขีปนาวุธถูกติดตั้งเอาไว้บนยานซึ่งทำหน้าที่เป็นทั้งรถบรรทุกลำเลียง-ตัวตั้งขีปนาวุธให้อยู่ในตำแหน่งพร้อมยิง-ตัวยิงขีปนาวุธ (transporter-erector-launcher) ที่เป็นยานขนาด 11 เพลา ใหญ่โตกว่ากันมากจากยาน 8 เพลาทำในจีนซึ่งโสมแดงเคยใช้งานเรื่อยมา
“เจ้ายานบรรทุกนี่อาจจะเป็นเรื่องน่ากลัวกว่าตัวขีปนาวุธเสียอีก” เป็นความเห็นของ เมลิสซา แฮนแฮม (Melissa Hanham) แห่งกลุ่ม โอเพน นิวเคลียร์ เนตเวิร์ก (Open Nuclear Network)
“ถ้าหากเกาหลีเหนือกำลังผลิตพวกช่วงล่างยานของตนเองขึ้นมาได้ภายในท้องถิ่นแล้ว มันก็จะมีข้อจำกัดถ่วงรั้งลดน้อยลงในเรื่องจำนวนของขีปนาวุธ ICBM ซึ่งพวกเขาจะสามารถยิงได้”
เส้นสีแดงห้ามละเมิดล่วงล้ำของ “ทรัมป์”
ไม่นานก่อนเข้าสาบานตัวรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีในปี 2017 โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวิตว่า การที่เกาหลีเหนือกำลังพัฒนาอาวุธที่มีศักยภาพโจมตีไปถึงส่วนต่างๆ ของสหรัฐฯ นั้น “จะต้องไม่เกิดขึ้น!”
เขายังใช้เวลาช่วงปีแรกในการเป็นประธานาธิบดีของเขา (ซึ่งได้เห็นเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธ ICBM ที่มีพิสัยทำการระดับที่เขาบอกว่าจะต้องไม่ยอมให้เกิดขึ้นนั่นแหละ) ในการทำศึกน้ำลายที่บานปลายออกไปเรื่อยๆ กับผู้นำคิม ก่อนที่ทั้งคู่จะเกิดพัฒนาความเป็นพี่เป็นน้องกันทางการทูตอย่างแปลกประหลาดขึ้นมา
ทว่าการเจรจาเรื่องนิวเคลียร์ของสองประเทศก็เจอทางตันมาตั้งแต่ความล้มเหลวของการประชุมซัมมิตระหว่างทรัมป์กับคิมที่กรุงฮานอยปีที่แล้ว เมื่อทั้งสองตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับการผ่อนคลายมาตรการแซงก์ชั่นโสมแดง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกันกับสิ่งที่เปียงยางจะต้องยินยอมยกเลิก
ขีปนาวุธ ICBM ตัวใหม่นี้ อันที่จริงเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าเกาหลีเหนือยังคงพัฒนาคลังแสงของตนเองเรื่อยมาในตลอดช่วงที่มีการเดินหมากทางการทูต พวกนักวิเคราะห์บอก และนั่นจะทำให้เปียงยางมีน้ำหนักในการต่อรองเรียกร้องผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น เมื่อเข้าสู่โต๊ะเจรจากันในยกใหม่
“จะชอบหรือไม่ชอบก็ตามที เกาหลีเหนือคือมหาอำนาจนิวเคลียร์รายหนึ่ง และน่าจะเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์รายที่ 3 ซึ่งมีศักยภาพที่จะโจมตีไปถึงเมืองใหญ่ต่างๆ ของอเมริกัน ที่สามภายหลังจากรัสเซียและจีน” อันเดร ลันคอฟ (Andrei Lankov) แห่งกลุ่ม โคเรีย ริสก์ กรุ๊ป (Korea Risk Group) บอกกับเอเอฟพี
เขากล่าวต่อไปอีกว่า คิมกำลังส่งข้อความไปถึงสหรัฐฯ ว่า สมรรถนะของเกาหลีเหนือกำลังปรับปรุงยกระดับขึ้นเรื่อยๆ และดังนั้น “ถ้าคุณยังไม่ต้องการทำข้อตกลงกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บางทีในเวลาต่อไปคุณจะต้องยอมทำข้อตกลงซึ่งจะเลวร้ายมากขึ้นไปอีกสำหรับคุณ, สำหรับประชาคมระว่างประเทศ”
มากกว่า 12 ชั่วโมงภายหลังสิ้นสุดการสวนสนามในเปียงยางซึ่งมีการถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์ของทางการเกาหลีเหนือ ทรัมป์ก็ยังไม่ได้ทวิตอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะที่ โจ ไบเดน คู่แข่งขันของเขาจากพรรคเดโมแครตก็ไม่ได้พูดอะไรเหมือนกัน
ทรัมป์เคยพูดเอาไว้มากมายในเรื่องที่ว่า คิมสัญญาจะไม่ทดสอบ ICBM หรืออาวุธนิวเคลียร์ต่อไปอีก และ ชิน โบมชุล (Shin Beom-chul) แห่งสถาบันวิจัยเกาหลีเพื่อยุทธศาสตร์แห่งชาติ (Korea Research Institute for National Strategy) กล่าวว่า จากการที่เปียงยางนำเอาขีปนาวุธนี้มาโชว์เฉยๆ แทนที่จะยิงให้ดู ถือได้ว่าโสมแดงได้หยุดกึ๊กตรงเกือบที่จะถึงเส้นสีแดงห้ามละเมิดล่วงล้ำที่ทรัมป์ขีดเอาไว้
“แต่มันก็ยังคงเป็นการส่งสัญญาณว่า เกาหลีเหนือสามารถที่จะยิงมันได้ ถ้าทรัมป์ได้รับเลือกตั้งอีกครั้งและเพิกเฉยละเลียประเด็นปัญหาเกาหลีเหนือ” เขาบอกกับเอเอฟพี และพูดต่อไปว่า “หรือถ้าไบเดนได้รับเลือกตั้งและเขาไม่ยอมฟังเกาหลีเหนืออยู่ ฝ่ายโสมแดงก็อาจจะยิงมันให้ดู”
(เก็บความจากเรื่อง Kim throws down gauntlet with huge new ICBM: analysts ของสำนักข่าวเอเอฟพี)