xs
xsm
sm
md
lg

ยังไม่ทันพ้นวิกฤต! ยอดติดเชื้อโควิดในบราซิลทะลุ 5 ล้าน เตือนอาจเจอระลอกสองเล่นงานซ้ำ

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในบราซิลพุ่งผ่าน 5 ล้านคนแล้วในวันพุธ (7 ต.ค.) และตัวเลขผู้เสียชีวิตขยับเข้าใกล้ 150,000 ราย เป็นชาติที่เผชิญการแพร่ระบาดเลวร้ายที่สุดอันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเตือนดินแดนแห่งนี้เสี่ยงถูกซ้ำเติมจากการแพร่ระบาดระลอก 2 หากกลับมาใช้ชีวิตปกติเร็วเกินไป

แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลงจากระดับพีกสุดในช่วงเดือนกรกฎาคม แต่พวกผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนว่าชาวบราซิลกำลังเพิกเฉยต่อมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม และเสี่ยงเผชิญกับอันตรายของการแพร่ระบาดระลอก 2 จากการที่ด่วนกลับมาใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ

กระทรวงสาธารณสุขบราซิล รายงานว่า ช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 31,553 คน ส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 5,000,694 คน ขณะเดียวกัน พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม 734 ราย ยอดผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 148,228 คน

ค่าเฉลี่ยผู้เสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อยู่ที่ 658 คนต่อวัน ลดลงจากระดับ 1,073 คนต่อวันในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม ส่วนค่าเฉลี่ยผู้ติดเชื้อรายวัน เวลานี้อยู่ที่ 26,140 คนต่อวัน ลดลงเกือบครึ่งจากช่วงปลายเดือนกรกฎาคม

โรแบร์โต เมดรอนโฮ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยริโอ เดอ จาเนโร เตือนว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจสูงกว่านี้มาก หากมีการตรวจเชื้อโควิด-19 กว้างขวางขึ้น “ไม่นาน ยอดผู้เสียชีวิตของเราจะแตะระดับ 150,000 คน มันเป็นตัวเลขที่น่ากลัว” เขาบอกกับรอยเตอร์ “เรากำลังเห็นเจ้าหน้าที่ผ่อนคลายมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมเพิ่มเติมเรื่อยๆ แม้จำนวนผู้ติดเชื้อยังสูงลิ่ว”

ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู แห่งบราซิล ดูเบาความรุนแรงของไวรัสมาตลอด แม้ตัวเขาเองก็ติดเชื้อและจำเป็นต้องกักโรคเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ โบลโซนารู คัดค้านการล็อกดาวน์และยุประชาชนชาวบราซิลกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เพื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจากภาวะดำดิ่งครั้งเลวร้ายสุดในประวัติศาสตร์

ด้วยหน้าหนาวสิ้นสุดลงและอุณหภูมิสูงขึ้น ชาวบราซิลจำนวนมากต่างออกไปรวมตัวกันตามชายหาดและร้านอาหารต่างๆ ที่คับคั่งไปด้วยผู้คน โดยปราศจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมใดๆ “ผมเกรงว่าเราจะเจอระลอกสองเหมือนกับในยุโรป ซึ่งมันเป็นความกังวลใหญ่หลวงของเจ้าหน้าที่สาธารณสุข” เมดรอนโฮกล่าว

(ที่มา:รอยเตอร์)


กำลังโหลดความคิดเห็น