เอเจนซีส์/MGRออนไลน์ – ชุมนุมม็อบธรรมศาสตร์วันเสาร์(19 ก.ย)รับเสียงสนับสนุนทางไกลจากนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยฮ่องกง โจชัว หว่อง โดยได้ทวีตใจความว่า ถึงฝนจะตกแต่ผู้ชุมนุมจำนวนมากไม่ย่อท้อเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ ชาวฮ่องกงขอยืนเคียงข้าง กลุ่ม LGBTQ ปักธงร่วม ด้านพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กรำลึกครอบรอบ 14 ปีถูกทหารทำรัฐประหาร ชี้ถึงเวลาต้องเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีปกครองประเทศ
หนังสือพิมพ์เซาท์ไซน่ามอร์นิงโพสต์รายงานเมื่อวานนี้(19 ก.ย)ว่า การชุมนุมปลดแอกของนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เสียงสนับสนุนจากผู้นำประชาธิปไตยร่มเหลืองฮ่องกงในวันเสาร์(19)
โดยเขาทวีตเป็นข้อความยาวและส่งแฮชแท็กภาษาไทย #19กันยาทวงอํานาจคืนราษฏร พร้อมประกอบกับภาพการชุมนุมจากมุมโดรนวิว โดยกล่าวว่า
“ถึงแม้ฝนจะตกหนัก คนจำนวนหลายหมื่นของไทยได้จัดการประท้วงที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2014 ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและอนาคตของพวกเขาในวันนี้ เป็นที่ชัดเจนว่าความอุตสาหะอย่างไม่ย่อท้อในความรักที่มีต่อที่พวกเขาอยู่ ผู้คนในประเทศไทยกำลังสร้างประวัติศาสตร์อีกครั้ง”
และในทวีตที่ 2 หว่องกล่าวว่า “ผมรู้สึกหวั่นไหวไปกับในสิ่งที่หญิงชราวัย 68 ปีกล่าวว่า “ดิฉันมาที่นี่เพื่อสู้ให้กับอนาคตของลูกๆและหลานๆของตัวเอง ดิฉันหวังว่าในเวลาที่ดิฉันเสียชีวิต พวกเขาจะเป็นอิสระ ในต้นทุนของพวกเราเพื่อประชาธิปไตย หัวใจของชาวฮ่องกงจะอยู่เคียงข้างพวกคุณ” พร้อมกับส่งแฮชแท็กภาษาไทยตบท้าย
หนังสือพิมพ์ฮ่องกงรายงานสถานการณ์การชุมนุมโดยทั่วไปว่า ในขณะที่ผู้ประท้วงต่างร่วมชุมนุมเข้าย่างเข้าเวลากลางคืนของวันเสาร์(19)ที่ท้องสนามหลวง ตำรวจซึ่งส่งกำลังเข้ามาควบคุมการชุมนุมกว่า 10,000 นายได้คาดการณ์ตัวเลขผู้ชุมนุมว่ามีจำนวน 18,000 คน แต่ทว่าเซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงานว่า มีอีกจำนวนหลายพันคน เป็นไปได้ที่จะเป็นจำนวนหลายหมื่นคนที่อยู่บนถนนรอบสนามหลวง
ซึ่งทางผู้จัดการประท้วงม็อบปลดแอกยืนยันว่า ตัวเลขผู้เข้าร่วมการชุมนุมนั้นเกือบถึง 50,000 คน เป็นตัวเลขที่สูงกว่า 5 เท่าของผู้ที่ออกมาร่วมในเดือนสิงหาคม และถือเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดมาหลังจากการรัฐประหารปี 2014
ทางผู้ชุมนุมมีกำหนดที่จะเดินมาร์ชไปยังทำเนียบรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในเช้าวันอาทิตย์(20)เพื่อยื่นข้อเรียกร้อง
สื่อฮ่องกงรายงานว่า นักเรียนไทยที่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในวัยมัธยมปลายได้เดินเข้าร่วมการประท้วงที่จัดขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค เพื่อสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยในเมืองไทยที่ส่วนหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเคลื่อนไหวประท้วงฮ่องกง และ "โจชัว หว่อง"ผงาดขึ้นมาจากการเป็นแกนนำนักศึกษาในการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยร่มเหลืองเมื่อปี 2014 และกลายเป็นนักเคลื่อนไหวเป็นที่จับตาในระดับนานาชาติในปัจจุบันนี้ โดยในครั้งนั้นหว่องใช้ร่มเหลืองเป็นสัญลักษณ์เพื่อเรียกร้องให้ฮ่องกงมีเสรีภาพขณะที่ในไทยกลุ่มนักศึกษาและนักเรียนชู 3 นิ้วเป็นสัญลักษณ์เรียกร้องการปฎิรูปการเมืองและสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยที่ถือเป็นประเด็นที่อ่อนไหว
โดยนักศึกษาวัย 23 ปีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ลงนามยื่นข้อเรียกร้องเพื่อแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญโดยยืนยันว่า “การเปลี่ยนแปลงต้องมาจากประชาชน”
ขณะที่ผู้ประท้วงที่อยู่ในวัยนักศึกษาอีกรายได้กล่าวแสดงความเห็นว่า เขาเข้าร่วมการประท้วงม็อบปลดแอกในครั้งนี้กับบิดา โดยกล่าวยืนยันแสดงความเห็นว่า “เราต้องการประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ไม่ใช่แบบเสแสร้ง” สื่อฮ่องกงชี้ว่า ผู้ประท้วงรายนี้ถูกพ่อนำมาที่ม็อบประท้วงในปี 2010 เมื่อเขามีอายุ 15 ปี
การประท้วงใหญ่วันเสาร์(19)ยังเรียกผู้สนับสนุนจากสมาชิกกลุ่มสหภาพและผู้สนับสนุนกลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายค้าน อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้มีสิทธิ์คนรุ่นใหม่ได้มาปรากฎตัวในที่ชุมนุม โดยธนาธรได้ประกาศว่า ในเวลานี้ประเทศไทยมาถึงทางแยก โดยกล่าวว่า “อย่าปล่อยให้เด็กสู้เพียงลำพัง” และกล่าวอีกว่า “พวกเราทุกคนต้องรับผิดชอบต่อสิ่งนี้(ทางตันทางการเมือง) นี่เป็นหนทางที่ยังไม่เคยมีใครเคยเดินมาก่อน...ประเทศไทยกำลังมาถึงทางแยก”
โดยในช่วงค่ำพบว่า ธงกลุ่มเพศทางเลือก LGBTQ ซึ่งมีธงสีรุ้งขนาดใหญ่ถูกถือพาดยาวกลางสนามหลวงเพื่อประกาศตัวเป็นแนวร่วมสนับสนุนและบนเวทีมีการอ่านถ้อยความที่มาจากสมาชิกของกลุ่มถึงความไม่เป็นธรรมในสังคมและความรุนแรงทางเพศภายใต้บริบทสังคมที่ชายเป็นใหญ่
ซึ่งนอกจากการประท้วงที่เกิดขึ้นในไทยแล้ว สื่อฮ่องกงรายงานว่า ยังมีการประท้วงคู่ขนานแบบประปรายเกิดขึ้นจากกลุ่มคนไทยที่เดินทางไปทำงานและศึกษาต่อในต่างประเทศที่เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไปจนถึงไต้หวัน
ด้านอดีตผู้นำนายกรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดกับธนาธร พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกแถลงการณ์รำลึกครบรอบ 14 ปีที่ถูกทำรัฐประหารโดยกล่าวยืนยันว่าถึงเวลาที่ประเทศต้องเปลี่ยนความคิดและวิธีการปกครองประเทศ
ทักษิณโพสต์บนเฟซบุ๊กมีใจความว่า “มันถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนวิธีในการคิดและการปกครองประเทศของเรา เพราะตลอดระยะเวลา 14 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้ล้าหลังจากชาติอื่นๆ”