เอเจนซีส์ - “ทรัมป์” เดินหน้าจัดปราศรัยหาเสียงภายในอาคาร โดยไม่แยแสคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข ถึงแม้สถิติล่าสุดชี้อเมริกาเป็น 1 ใน 2 ประเทศของโลกที่มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เกิน 1,000 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา โดยที่อีกประเทศคืออินเดียนั้น มียอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเพิ่มขึ้นเฉียดแสนคนด้วย นอกจากนั้นจำนวนเคสใหม่รวมตลอดทั่วโลกยังทุบสถิติด้วยตัวเลข 307,930 คน
วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (13 ก.ย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้จัดการหาเสียงในคลังสินค้าขนาดใหญ่ของเมืองเฮนเดอร์สัน รัฐเนวาดา ใกล้ๆ กับลาสเวกัส ถือเป็นครั้งแรกในการปราศรัยหาเสียงภายในอาคารในรอบหลายเดือนของเขา หลังจากการปราศรัยในลักษณะนี้ครั้งล่าสุดที่จัดขึ้นที่เมืองทัลซา รัฐโอคลาโฮมา เมื่อเดือนมิถุนายน ถูกวิจารณ์ว่าเป็นสาเหตุให้ยอดผู้ติดเชื้อในเมืองดังกล่าวพุ่งขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์
ทรัมป์ดูเบาเกี่ยวกับอันตรายของไวรัสโคโรนามาตั้งแต่แรก และยังเพิกเฉยต่อคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเรื่องการสวมหน้ากากและการเว้นระยะห่างทางสังคมเพื่อป้องกันการระบาด
ในการหาเสียงวันอาทิตย์ เขายกย่องผลงานของตัวเองในการจัดการโรคระบาดว่า ช่วยชีวิตผู้คนได้เป็นล้าน
ทิม เมอร์ทัฟ โฆษกแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ระบุว่า การหาเสียงในคลังสินค้าขนาดใหญ่ในเฮนเดอร์สันเป็นโอกาสที่ผู้สนับสนุนทรัมป์จะได้ใช้สิทธิ์การชุมนุมโดยสันติภายใต้บทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับที่ 1 พร้อมยืนยันว่า มีการวัดอุณหภูมิผู้เข้าฟังการปราศรัยก่อนเข้าสู่คลังสินค้า รวมทั้งแจกหน้ากากและขอให้สวมหน้ากากภายในอาคาร
ทว่า ภาพข่าวที่ออกมาพบว่า ผู้เข้าฟังการปราศรัยนั่งเบียดเสียดกันและหลายคนไม่สวมหน้ากาก
แคทลีน ริชาร์ดส์ โฆษกเมืองเฮนเดอร์สันเผยว่า ได้ออกจดหมายและคำเตือนทางวาจาถึงผู้จัดการหาเสียงว่า การดำเนินการดังกล่าวละเมิดคำสั่งฉุกเฉินเพื่อป้องกันโควิด-19 ของผู้ว่าการรัฐที่ไม่อนุญาตให้มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมกันเกิน 50 คน
สตีฟ ซิโซแล็ก ผู้ว่าการเนวาดา ทวิตว่า ทรัมป์กำลังกระทำการที่สะเพร่าและเห็นแก่ตัวที่ทำให้ประชาชนในเนวาดาซึ่งไม่สามารถระบุจำนวนได้ตกอยู่ในอันตราย
ด้าน โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต วิจารณ์การหาเสียงของทรัมป์ว่า ทำให้ประชาชนตกอยู่ในความเสี่ยงติดไวรัสโคโรนาซึ่งได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตในอเมริกาแล้วกว่า 194,000 คน
ทั้งนี้ เมื่อวันอาทิตย์ องค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่า ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นถึง 307,930 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในอินเดีย อเมริกา และบราซิล
เฉพาะอินเดียนั้นออกมารายงานเมื่อวันจันทร์ (14) ว่า พบเคสใหม่ 92,071 คนในรอบ 24 ชั่วโมงก่อนหน้า รวมยอดผู้ติดเชื้อสะสมเป็น 4.85 ล้านคน นับเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดอันดับ 2 ของโลก รองจากอเมริกาที่มีผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 6.5 ล้านคน
อย่างไรก็ดี จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันในอเมริกาเวลานี้ลดลงถึง 44% จากสถิติสูงสุดที่มีจำนวนกว่า 77,000 คนเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม เช่นเดียวกับบราซิลที่จำนวนเคสใหม่รายวันก็มีแนวโน้มลดลง
สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกเพิ่มขึ้นมาอีก 5,537 คน รวมสะสมเป็น 917,417 คน โดยอเมริกาและอินเดียเป็นสองประเทศที่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 คนในรอบ 24 ชั่วโมง ขณะที่บราซิลมีผู้เสียชีวิต 874 คน
สถิติพบเคสใหม่สูงสุดทั่วโลกในวันเดียวครั้งล่าสุดก่อนหน้านี้คือ 306,857 คนเมื่อวันที่ 6 ที่ผ่านมา ส่วนสถิติผู้เสียชีวิตคือ 12,430 คนเมื่อวันที่ 17 เมษายน
ในวันจันทร์ ฮันส์ คลูจ ผู้อำนวยการ WHO ประจำยุโรป ยังออกมาเตือนว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในภูมิภาคของเขาจะเพิ่มขึ้นอีกในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน จากการที่ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสเปนและฝรั่งเศส เฉพาะวันศุกร์ (11) พบเคสใหม่กว่า 51,000 คนใน 55 ประเทศที่ WHO ยุโรปเฝ้าติดตามสถานการณ์ ซึ่งถือว่า สูงกว่าช่วงที่ไวรัสโคโรนาระบาดรุนแรงที่สุดเมื่อเดือนเมษายน
สำหรับที่อิสราเอล รัฐบาลประกาศว่า จะเริ่มมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศนาน 3 สัปดาห์ตั้งแต่วันศุกร์ (18) หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นทำสถิติ
ตรงข้ามกับสถานการณ์ของนิวซีแลนด์ที่นายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น แถลงเมื่อวันจันทร์ว่า จะยกเลิกมาตรการจำกัดเข้มงวดต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 21 เดือนนี้ ยกเว้นในโอ๊กแลนด์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดและเป็นศูนย์กลางการระบาดระลอกสองเมื่อเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้รัฐบาลจะผ่อนคลายข้อจำกัดในการเว้นระยะห่างทางกายภาพทั้งหมดบนเครื่องบินทันที ซึ่งถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่งสำหรับแอร์นิวซีแลนด์ ที่ต้องจำกัดจำนวนผู้โดยสารบนเครื่องมานานหลายเดือน
อย่างไรก็ตาม ชาวแดนกีวียังต้องสวมหน้ากากในระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดต่อไป