รอยเตอร์ – กรุงโซลของเกาหลีใต้เริ่มบังคับสวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะทั้งในและนอกอาคารเป็นครั้งแรกวันนี้ (24 ส.ค.) เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หลังพบการติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มก้อนในเขตเมืองหลวงซึ่งมีประชากรหนาแน่น
ก่อนหน้านี้ ฝ่ายบริหารกรุงโซลเคยมีคำสั่งให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากในระบบขนส่งมวลชนหรือแทกซี่เมื่อเดือน พ.ค. ทว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลักร้อยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาทำให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเกรงว่า เกาหลีใต้อาจจำเป็นต้องยกระดับมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมให้เข้มงวดยิ่งขึ้นไปอีก
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งเกาหลีใต้ (KCDC) รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รวมทั้งสิ้น 266 รายในรอบ 24 ชั่วโมงจนถึงเที่ยงคืนวันอาทิตย์ (23) ซึ่งแม้จะลดลงมากจากสถิติ 397 รายเมื่อหนึ่งวันก่อนหน้า แต่ก็ยังถือว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้พุ่งเป็นหลักร้อยต่อเนื่องมานานกว่า 1 สัปดาห์
ทางการกรุงโซลประกาศวานนี้ (23) ว่าประชาชนในเมืองหลวงจะต้องสวมหน้ากากในอาคารซึ่งเป็นที่สาธารณะ รวมถึงพื้นที่ภายนอกอาคารที่มีผู้คนพลุกพล่าน โดยอนุโลมให้ถอดหน้ากากได้เฉพาะเวลากินดื่มเท่านั้น
ขณะเดียวกัน รัฐบาลเกาหลีใต้ก็ได้ขยายมาตรการคุมเข้มทางสังคมที่บังคับใช้ในกรุงโซลออกไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ โดยห้ามการรวมตัวทำกิจกรรมภายในโบสถ์ รวมถึงสั่งปิดไนต์คลับ, ร้านอาหารบุฟเฟต์ และไซเบอร์คาเฟ่ต่างๆ
ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่กลับมาเพิ่มสูงขึ้นใน 17 เมืองทั่วประเทศทำให้เจ้าหน้าที่เตือนว่าแดนโสมขาวมีความเสี่ยงที่จะเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ของโควิด-19 อีกครั้ง ขณะที่หน่วยงานสาธารณสุขเกาหลีใต้ยอมรับว่ากำลังมีการพิจารณาออกมาตรการคุมเข้มระดับที่ 3 ซึ่งหมายถึงการสั่งปิดโรงเรียนและภาคธุรกิจ หากยอดผู้ติดเชื้อใหม่ยังไม่ลดลงในเร็วๆ นี้