รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - เมื่อวานนี้ (25 ก.ค.) บริเวณด้านนอกสถานกงสุลสหรัฐฯประจำเมืองเฉิงตู ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ มีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ขณะที่เจ้าหน้าที่การทูตอเมริกันที่อยู่ด้านในอยู่ในระหว่างการเตรียมพร้อมที่จะเดินทางออกไปเกิดขึ้น 1 วันหลังรัฐบาลปักกิ่งออกคำสั่งปิดตอบโต้ที่วอชิงตันสั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮูสตัน รัฐเทกซัส
รอยเตอร์รายงานเมื่อวานนี้ (25 ก.ค.) ว่า การตอบโต้แบบตาต่อต่อในการสั่งปิดสถานกงสุลระหว่างสหรัฐฯและจีนที่เกิดขึ้นได้นำมาสู่ความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามลงระหว่าง 2 ชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและการทหารของโลกล่าสุด
ซึ่งไม่นานในวันศุกร์ (24) หลังจากคำสั่งปิดมีผลบังคับใช้พบภาพกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ดูเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่สหรัฐฯนอกเครื่องแบบสวมแว่นตาดำ และมีหน้ากากพยายามที่จะเปิดประตูด้านหลังของสถานกงสุลจีนประจำเมืองฮูสตัน เพื่อเข้าไปด้านใน
ซึ่งมีผู้ใช้บนทวิตเตอร์ที่มีชื่อว่า เจนนิเฟอร์ เซ่ง (Jenifer Zeng) ได้ถ่ายคลิปภาพเหตุการณ์การบุกของเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบสหรัฐฯที่กงสุลสหรัฐฯเมืองฮูสตัน ว่า หลังจากที่ไม่ประสบความสำเร็จจากการเข้าทางประตูหน้าที่ดูเหมือนว่าจะล็อกจากด้านใน ทำให้กลุ่มเจ้าหน้าที่ต้องไปที่ประตูข้างซึ่งเป็นประตูเล็กแทน
กระทรวงต่างประเทศจีนในวันเสาร์ (25) ออกมาประณาม โดยชี้ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและข้อตกลงระดับทวิภาคีระหว่างกัน พร้อมกันนี้ ยังกล่าวว่าปักกิ่งพร้อมที่จะตอบโต้แต่ไม่กล่าวในรายละเอียด
ขณะที่ เมืองเฉิงตู นครกึ่งมณฑลซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลเสฉวน พบว่า สัญลักษณ์ของสถานกงสุลสหรัฐฯที่ประดับอยู่ด้านในถูกถอดลง และมีภาพเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐฯกำลังทยอยเดินทางออกมาด้านนอก และไม่นานหลังจากนั้น มีรถบรรทุกสำหรับการเคลื่อนย้ายจำนวน 3 คัน เข้าไปด้านในสถานกงสุล
ขณะเดียวกัน บรรยากาศด้านนอกสถานกงสุลสหรัฐฯ ในวันเสาร์ (25) พบว่า มีตำรวจประจำอยู่ด้านนอกและการจราจรได้ถูกปิดลงชั่วคราว
โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน หวัง เหวิ่นบิน (Wang Wenbin) ออกมาอ้างว่า มีเจ้าหน้าที่บางคนภายในสถานกงสุลสหรัฐฯที่เฉิงตูมีความเคลื่อนไหวผิดปกติไม่สอดคล้องกับหน้าที่การทำงาน และยังก้าวก่ายกิจการภายในของจีน รวมไปถึงทำร้ายผลประโยชน์ทางความมั่นคงของจีนอีกด้วย แต่ไม่ได้อธิบายในรายละเอียด
อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์รายงานว่า ตลอดทั้งวันพบว่ามีผู้คนเดินผ่านอย่างต่อเนื่องที่ถนนซึ่งอยู่ตรงข้ามกับทางเข้าสถานกงสุลสหรัฐฯ และมีประชาชนจีนบางส่วนหยุดเพื่อถ่ายภาพ หรือถ่ายคลิปแต่ถูกตำรวจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ไล่ไป
ด้านหนังสือพิมพ์ฮ่องกง เซาท์มอร์นิงไชน่าโพสต์รายงานเพิ่มเติมว่า ประชาชนเมืองเฉิงตูนั้นมุงดูด้วยความสงบถึง
แม้ว่าจะมีชายคนหนึ่งในวันศุกร์ (24) พยายามที่จะจุดประทัดไล่และถูกตำรวจตักเตือน หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมการปิดสถานทูตสหรัฐฯในวันศุกร์ (24) คือ หวัง ดายู (Wang Dayou) ที่กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า เขาพาลูกชายเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินราวครึ่งชั่วโมง เพื่อมาที่นี่เป็นพยานในการถูกปิดของสถานกงสุลสหรัฐฯ เพื่อเป็นการให้การศึกษาแก่บุตรชาย
หวังยืนบนทางเท้าฝั่งตรงกันข้ามกับสถานกงสุลและกล่าวกับบุตรชาย ว่า "เป็นการสมเหตุสมผลในการตอบโต้จากรัฐบาลจีน เป็นเพราะทางสหรัฐฯได้สั่งปิดสถานกงสุลจีนในเมืองฮูสตัน"
และเมื่อนักข่าวมอร์นิงไชน่าโพสต์ถามหวังว่า เหตุใดจึงมีควงามสำคัญในการที่ต้องให้ลูกชายเห็นการปิดสถานกงสุลสหรัฐฯ หวังตอบกลับมาว่า “ผมต้องการให้เขาเข้าใจถึงเหตุและผมที่จะตามมา เขาจำเป็นต้องเรียนในเรื่องนี้” และชี้ว่า “เรากำลังปิดสถานกงสุล และอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป บางทีอาจจะเป็นการสั่งอพยพประชาชนจีนออกมาและเกิดสงครามที่รุนแรงขึ้น แต่ผมหวังว่ามันจะไม่ไปไกลถึงขนาดนั้น”
อย่างไรก็ตาม มีประชาชนจีนบางส่วนแสดงความวิตกถึงการสั่งปิดและความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามของ 2 ชาติ หญิงวัย 62 ปี แซ่เฉิง (Cheng) ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับสถานกงสุลสหรัฐฯกล่าวแสดงความเห็นว่า “พวกเรารู้สึกปลอดภัยที่อาศัยอยู่ใกล้กับสถานกงสุลและมันสะดวกสบาย” และกล่าวต่อว่า “หากว่า่กงสุลต้องถูกปิดไปดิฉันกังวลว่าราคาบ้านของดิฉันจะตก”
และเธอกล่าวแสดงความกังวลไปถึงญาติที่อาศัยอยู่ในสหรัฐฯว่า “หากว่าความสัมพันธ์ของ 2 ชาติเสื่อมทราม ชาวอเมริกันเชื้อสายจีนอาจต้องพบกับความท้าทายมากขึ้น”
ทั้งนี้ ในปี 2012 หวัง ลี่จิว์น (Wang Ligun) อดีตหัวหน้าตำรวจเมืองฉงชิง ที่พยายามจะแปรพักตร์หลังจากแตกกับอดีตหัวหน้า ป๋อ ซี ไหล (Bo Xi Lai) อดีตหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ของเมืองฉงชิง ได้เข้าลี้ภัยด้านในสถานกงสุลสหรัฐฯที่เมืองเฉิงตู และกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก
รอยเตอร์รายงานว่า สถานกงสุลสหรัฐฯเมืองเฉิงตู ได้รับคำสั่งให้ปิดภายใน 72 ชั่วโมง หรือราว 10.00 น. ของวันจันทร์ (27) เป็นเส้นตาย อ้างอิงจากทวิตเตอร์ของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โกลบอลไทม์สของจีน
ทั้งนี้ พบว่า สถานกงสุลสหรัฐฯเปิดทำการที่เมืองเฉิงตูมาตั้งแต่ปี 1985 มีเจ้าหน้าที่ประจำด้านในรวมเกือบ 200 คน และจากทั้งหมดมี 150 คน เป็นเจ้าหน้าที่ที่ถูกจ้างจากคนในพื้นที่ ซึ่งในเวลานี้ว่ายังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าจะมีเจ้าหน้าที่อเมริกันประจำอยู่จำนวนมากเท่าใดหลังจากช่วงวิกฤตการระบาดโรคโควิด-19 ได้มีการสั่งอพยพเจ้าหน้าที่การทูตอเมริกันออกไป