เอเอฟพี - รัฐบาลจีนมีคำสั่งปิดสถานกงสุลสหรัฐฯ ที่นครเฉิงตู วันนี้ (24 ก.ค.) เพื่อเอาคืนกรณีที่สถานกงสุลจีนในเมืองฮิวสตัน รัฐเทกซัส ถูกรัฐบาลอเมริกันสั่งปิดเมื่อไม่กี่วันก่อน
กระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงว่า คำสั่งนี้ “เป็นมาตรการอันชอบธรรมและมีความจำเป็น เพื่อตอบโต้การกระทำที่ไร้เหตุผลของสหรัฐอเมริกา”
ทางกระทรวงยังระบุด้วยว่า ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับสหรัฐฯ ในขณะนี้ “ไม่ใช่สิ่งที่จีนปรารถนา และทั้งหมดล้วนเกิดจากการกระทำของสหรัฐฯ ทั้งสิ้น”
สายสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ กลับมาตึงเครียดหนักจากข้อพิพาทหลายด้านทั้งเรื่องการค้า ทะเลจีนใต้ รวมถึงกรณีฮ่องกง และล่าสุดวอชิงตันได้มีคำสั่งเมื่อวันอังคาร (21) ให้สถานกงสุลจีนประจำเมืองฮิวสตัน ยุติภารกิจและกิจกรรมทุกอย่างภายใน 72 ชั่วโมง โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้ที่จีนขโมยทรัพย์สินทางปัญญา
ก่อนหน้านั้น 1 วัน กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวหาพลเมืองจีน 2 รายว่าแฮกระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัทหลายร้อยแห่ง และยังพยายามขโมยข้อมูลเกี่ยวกับงานวิจัยวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ด้วย
รัฐบาลจีนขู่จะตอบโต้หากสหรัฐฯ ไม่เพิกถอนคำสั่งปิดสถานกงสุล
ล่าสุด จีนได้แถลงอีกครั้งในวันนี้ (24) ให้สหรัฐฯ เปลี่ยนใจเสีย และ “สร้างเงื่อนไขที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีสู่ระดับปกติ”
นอกจากสถานทูตประจำกรุงปักกิ่งแล้ว สหรัฐฯ ยังมีสถานกงสุลอยู่อีก 5 แห่งในจีนแผ่นดินใหญ่ และ 1 แห่งบนเกาะฮ่องกง
สถานกงสุลสหรัฐฯ ที่นครเฉิงตู ก่อตั้งขึ้นในปี 1985 ปัจจุบันมีเจ้าหน้าที่ประมาณ 200 คน โดยเป็นลูกจ้างชาวจีน 150 คน
ย้อนไปเมื่อปี 2013 รัฐบาลจีนเคยเรียกร้องให้สหรัฐฯ ชี้แจงเรื่องโครงการสอดแนม หลังจาก เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน อดีตนักวิเคราะห์ข่าวกรองที่ผู้เปิดโปงข้อมูลลับของรัฐบาลอเมริกันนำ ‘แผนที่ลับสุดยอด’ ออกมาแฉ ซึ่งเผยให้เห็นว่าสหรัฐฯ มีศูนย์สอดแนมอิเล็กทรอนิกส์อยู่ตามสำนักงานการทูตทั่วโลก และสถานกงสุลประจำนครเฉิงตูก็เป็นหนึ่งในนั้น
ส.ว.มาร์โก รูบิโอ จากพรรครีพับลิกัน เคยเรียกสถานกงสุลจีนในฮิวสตันว่า เป็น “หน่วยงานหลักในเครือข่ายจารชนที่ใหญ่โตกว้างขวางและปฏิบัติการสร้างอิทธิพลในสหรัฐอเมริกาของพรรคคอมมิวนิสต์จีน”
ด้าน ไมเคิล แมคโคล แกนนำรีพับลิกันในคณะกรรมการกิจการต่างประเทศของสภาผู้แทนราษฎร ก็ระบุคล้ายๆ กันว่า สถานกงสุลจีนแห่งนี้เป็น “ศูนย์กลาง” ความพยายามของปักกิ่งที่จะขโมยข้อมูลเซนซิทีฟจากสหรัฐฯ เพื่อนำไปเสริมเขี้ยวเล็บกองทัพของตนเอง
หวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ออกมาวิจารณ์ข้อครหาของสหรัฐฯ ว่าเป็นการ “ป้ายสีโดยมีเจตนาร้าย”