รอยเตอร์ - ประธานาธิบดี เรเจป ตัยยิบ แอร์โดอัน แห่งตุรกี ประกาศวานนี้ (10 ก.ค.) ให้ “ฮาเกีย โซเฟีย” พิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงในนครอิสตันบูล กลายเป็นมัสยิดอีกครั้ง โดยจะเริ่มมีพิธีละหมาดภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า
ศาลสูงสุดตุรกีได้มีคำพิพากษาว่า การเปลี่ยนอาคารโบราณทรงโดมแห่งนี้ เป็นพิพิธภัณฑ์ตามคำสั่งของ มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐตุรกี คือ การกระทำที่ผิดกฎหมาย
สหรัฐฯ รัสเซีย และบรรดาผู้นำโบสถ์ ต่างแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนสถานะของ ฮาเกีย โซเฟีย ซึ่งเป็นอาคารมรดกโลกที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่น และมีความสำคัญมาแต่ยุคจักรวรรดิไบแซนไทน์ และจักรวรรดิออตโตมัน และเวลานี้ยังเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของตุรกีที่มีผู้ไปเยี่ยมเยือนมากที่สุด
กระทรวงวัฒนธรรมของกรีซวิจารณ์คำสั่งศาลตุรกีว่าเป็นการ “ท้าทายอย่างโจ่งแจ้ง” ขณะที่องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) แสดงความผิดหวังที่รัฐบาลตุรกีทำอะไรไม่บอกกล่าว และประกาศทบทวนสถานะ “มรดกโลก” ของอาคารหลังนี้
ประธานาธิบดี แอร์โดอัน พยายามนำหลักการอิสลามเข้าสู่การเมืองกระแสหลักของตุรกีมาตลอด 17 ปี ที่เป็นผู้นำรัฐบาล เขาเคยเสนอมานานแล้วให้เปลี่ยนอาคารยุคศตวรรษที่ 6 แห่งนี้กลับไปเป็นมัสยิดอีกครั้ง หลังจากถูก อตาเติร์ก ซึ่งเป็นอดีตผู้นำตุรกีที่นิยมแนวทางโลกวิสัยประกาศให้เป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 1935
“ด้วยคำพิพากษาของศาลและมาตรการต่างๆ ที่เราจะดำเนินการตามคำสั่งนี้ ฮาเกีย โซเฟีย จะกลับไปเป็นมัสยิดอีกครั้งในรอบ 86 ปี ตามแนวทางที่สุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ผู้พิชิตอิสตันบูลปรารถนา” แอร์โดอัน กล่าว
“เช่นเดียวกับมัสยิดทั้งหลาย ประตูของ ฮาเกีย โซเฟีย จะยังเปิดต้อนรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนท้องถิ่นหรือชาวต่างชาติ มุสลิมหรือผู้ที่นับถือศาสนาอื่นก็ตาม”
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกร้องให้ตุรกีคงสถานะความเป็นพิพิธภัณฑ์ของอาคารหลังนี้ไว้ และล่าสุด ได้ออกมาแสดงความ “ผิดหวัง” แต่ก็ยังรอฟังว่ารัฐบาล แอร์โดอัน จะมีแผนดำเนินการอย่างไรที่จะให้ ฮาเกีย โซเฟีย ยังคงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
สมาคมซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตียื่นฟ้องศาลเพื่อขอเปลี่ยน ฮาเกีย โซเฟีย กลับไปเป็นมัสยิดอ้างว่า อาคารหลังนี้เป็นทรัพย์สินของสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 ซึ่งพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้ในปี 1453 และทรงเปลี่ยนโบสถ์กรีกออร์โธดอกซ์อายุ 900 ปี ในขณะนั้นให้กลายเป็นศาสนสถานของชาวมุสลิม
ผู้ปกครองจักรวรรดิออตโตมันได้สร้างหอสูงยอดแหลม (minarets) ขึ้นที่ด้านข้างอาคารที่มีหลังคารูปโดม ส่วนภายในก็ตบแต่งด้วยข้อความภาษาอาหรับที่สื่อถึงพระนามของพระผู้เป็นเจ้า, ศาสดามูฮัมหมัด และบรรดาคอลีฟะห์ (กาหลิบ) ผู้ปกครองชาวมุสลิมในอดีต ซึ่งต่อมาหลังจากที่อาคารหลังนี้ถูกเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์แล้วก็ได้มีการค้นพบกระเบื้องโมเสกทองคำและสัญลักษณ์ทางคริสตศาสนาต่างๆ ที่พวกออตโตมันได้ปกปิดเอาไว้