เอเอฟพี – สหรัฐฯ พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มถึง 65,551 รายในรอบ 24 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ (9 ก.ค.) ซึ่งนับเป็นสถิติรายวันสูงสุดตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด ขณะที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงอ้างว่าตัวเลขที่พุ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ นี้เกิดจากการตรวจหาเชื้อที่มากขึ้น
จากฐานข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์เช้าวันนี้ (10 ก.ค.) ตามเวลาในประเทศไทย สหรัฐฯ ซึ่งเป็นชาติที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากโควิด-19 มียอดติดเชื้อสะสมพุ่งกว่า 3.11 ล้านคน ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 133,245 คน
จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดในอเมริกาก่อนหน้านี้คือ 60,200 คน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา
ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ กลับมาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ โดยเฉพาะในรัฐทางใต้และตะวันตก ซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขกังวลว่าอัตราการเสียชีวิตจะขยับสูงขึ้นตามกันไป
เมื่อเวลา 00.30 GMT ที่ผ่านมา สหรัฐฯ มีผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิตเพิ่มถึง 1,000 คนในรอบ 24 ชั่วโมง ตามการรวบรวมของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์
“เราอยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากและท้าทายอย่างยิ่ง” นพ.แอนโธนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์ทางไกลกับสื่อ The Hill เมื่อวานนี้ (9)
นพ.เฟาซี ระบุว่า การกลับมาเปิดเศรษฐกิจเร็วเกินไปทำให้หลายรัฐ “มีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นเกินมาตรฐาน” การชะลอตัวของโรคที่จำเป็นสำหรับการผ่อนคลายล็อกดาวน์แบบเป็นขั้นเป็นตอน
“ผมคิดว่าเราจำเป็นต้องให้รัฐเหล่านี้ชะลอการเปิดเมืองเอาไว้ก่อน” เขากล่าว แต่ก็ยอมรับว่า “อาจไม่ถึงขั้นต้องชัตดาวน์เต็มรูปแบบ”
ด้านประธานาธิบดี ทรัมป์ ซึ่งคัดค้านแนวคิดของ เฟาซี อย่างเปิดเผยยังคงไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนกับสถานการณ์โรคระบาดที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ
“สาเหตุที่เราพบผู้ติดเชื้อมากขึ้นขนาดนี้เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เป็นเพราะเรามีการตรวจหาเชื้อมากกว่าพวกเขา และดีกว่าพวกเขา” ทรัมป์ ทวีตข้อความวานนี้ (9)
“เราตรวจคนไปแล้ว 40 ล้านคน ถ้าเราตรวจแค่ 20 ล้านคน ยอดผู้ติดเชื้อก็จะเหลือครึ่งหนึ่งจากที่เป็นอยู่ ฯลฯ”
