รอยเตอร์ - การบังคับสวมหน้ากากป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ในหลายๆพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางของโรคระบาดใหญ่ อาจช่วยป้องกันประชาชนจากการติดเชื้อได้หลายหมื่นคน จากข้อบ่งชี้ของผลการวิจัยใหม่ที่เผยแพร่ในวันศุกร์ (12 มิ.ย.)
ในผลการศึกษาที่เผยแพร่ในวารสาร PNAS(The Proceedings of the National Academy of Sciences of the USA.) ยังพบแม้กระทั่งว่าการสวมหน้ากากมีความสำคัญสำหรับการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัส มากกว่ามาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและคำสั่งหยุดอยู่บ้านเสียอีก
ผลการศึกษาพบว่าแนวโน้มของการแพร่เชื้อเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เมื่อครั้งที่มีการบังคับใช้กฎระเบียบสวมหน้ากากในวันที่ 6 เมษายน ทางภาคเหนือของอิตาลี และในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 17 เมษายน ซึ่งในตอนนั้นต่างก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากวิฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 หนักหน่วงที่สุดในโลก
"มาตรการป้องกันดังกล่าวเป็นอย่างเดียวช่วยลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้อย่างมาก กว่า 78,000 คนในอิตาลี ระหว่างวันที่ 6 เมษายนถึง 9 พฤษภาคม และกว่า 66,000 คนในนิวยอร์ก ตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน ถึง 9 พฤษภาคม" จากผลการคำนวณของนักวิจัย
พวกนักวิจัยบอกต่อว่าเมื่อครั้งมาตรการสวมหน้ากากมีผลบังคับใช้ในนิวยอร์ก อัตราผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลงราว 3% ต่อวัน ผิดกับที่อื่นๆ ของประเทศ ซึ่งอัตราพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ข้อควรระวังการสัมผัสโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะห่างทางสังคม, กักโรคหรือแยกโรค และล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ ล้วนถูกนำมาใช้ก่อนหน้าที่มาตรการสวมหน้ากากจะมีผลบังคับใช้ในอิตาลีและนิวยอร์ก แต่ในข้อควรระวังเหล่านั้น แค่ช่วยลดการแพร่เชื้อจากการสัมผัสโดยตรง ส่วนการสวมหน้ากากนั้นช่วยป้องกันการแพร่เชื้อทางอากาศ
ผลวิจัยถูกเผยแพร่ออกมาในขณะที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐฯ (ซีดีซี) ในวันศุกร์ (12 มิ.ย.) เรียกร้องให้แกนนำการชุมนุมของคนหมู่มาก ซึ่งมีการตะโกน พูดคุยและร้องเพลง ช่วยสนับสนุนอย่างแข็งขันให้ผู้เข้าร่วมสวมหน้ากากปกปิดใบหน้า เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโควิด-19