เอเจนซีส์ – ‘อนามัยโลก’แนะ‘ปากีสถาน’ฟื้นล็อกดาวน์สกัดโรคระบาดที่ปะทุขึ้นอีก ด้าน‘สหรัฐฯ’เผยทหารติดเชื้อขณะคุมม็อบในวอชิงตัน เช่นเดียวกับ “อินโดนีเซีย”ที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องรัฐบาลระงับการปลดล็อก ด้านกองกำลังป้องกันชาติ (เนชั่นแนลการ์ด) ในกรุงวอชิงตันเผย ทหารจำนวนหนึ่งติดเชื้อจากการเข้าควบคุมการประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวก่อนหน้านี้
นายกรัฐมนตรีอิมรัน ข่าน ของปากีสถาน คัดค้านการใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศเรื่อยมานับจากที่ไวรัสโคโรนาระบาดในปากีสถานเมื่อเดือนมีนาคม โดยอ้างว่า ประเทศซึ่งยากจนข้นแค้นอยู่แล้วแห่งนี้ไม่สามารถรองรับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ได้
อย่างไรก็ดี 4 รัฐในปากีสถานก็ยังคงออกคำสั่งล็อกดาวน์ ทว่าเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ข่านประกาศจะยกเลิกมาตรการจำกัดส่วนใหญ่
ในวันพุธ (10 พ.ค.) เจ้าหน้าที่สาธารณสุขปากีสถานเผยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาสูงสุดทำสถิติ รวมแล้วปากีสถานมีผู้ติดเชื้อสะสมที่ได้รับการยืนยันกว่า 113,000 คน เสียชีวิต 2,200 คน และคาดว่า ตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านี้เนื่องจากยังมีการตรวจหาผู้ติดเชื้ออย่างจำกัด
องค์การอนามัยโลก (ฮู) ส่งจดหมายถึงทางการอิสลามาบัดระบุว่า สถานการณ์ของปากีสถานยังไม่เข้าเงื่อนไขสำหรับการปลดล็อก เช่น ประชาชนจำนวนมากไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในเรื่องการเว้นระยะห่างทางสังคมและการล้างมือบ่อยๆ รัฐบาลจึงยังจำเป็นต้องดำเนินมาตรการที่ยากลำบาก ซึ่งรวมถึงการล็อกดาวน์ก็ควรทำแบบเป็นระยะๆ โดยที่ฮูแนะนำให้ล็อกดาวน์ 2 สัปดาห์ สลับกับปลดล็อก 2 สัปดาห์
ซาฟาร์ มีร์ซา ที่ปรึกษาพิเศษด้านสาธารณสุขของนายกรัฐมนตรีปากีสถานตอบจดหมายของฮูว่า ปากีสถานผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างค่อยเป็นค่อยไปและระมัดระวัง ควบคู่กับการบังคับใช้แนวทางต่างๆ ในร้านค้า มัสยิด และระบบขนส่งสาธารณะ
ทางด้านอินโดนีเซียก็เช่นเดียวกัน มียอดผู้ติดเชื้อรายวันพุ่งขึ้นทำสถิติ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเรียกร้องให้รัฐบาลระงับการปลดล็อก
สัปดาห์ที่แล้ว จาการ์ตาอนุญาตให้เปิดมัสยิดเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 เดือน ขณะที่รัฐบาลประกาศผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อย่างค่อยเป็นค่อยไปทั่วประเทศ รวมทั้งเปิดสำนักงาน ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อกู้ฟื้นเศรษฐกิจที่ทรุดดิ่ง
ทว่า การผ่อนคลายกฎส่งผลให้ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ขึ้นลิ่ว โดยตามรายงานในวันพุธนั้นมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,241 คน ซึ่งเป็นการสร้างสถิติใหม่ ขณะที่ยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสมขึ้นไปอยู่ที่กว่า 34,000 คน และเสียชีวิต 1,959 คน
สถิติใหม่ล่าสุดเกิดขึ้นหลังจากทางการไม่สามารถควบคุมคลื่นการเดินทางกลับบ้านและไปเยี่ยมญาติของประชาชน ในช่วงหลังสิ้นสุดรอมฎอนเมื่อเดือนที่แล้ว และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกมาตรการผ่อนคลายเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
วันเดียวกันนั้น สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยจำนวนเกือบ 39,000 คน ได้อนุมัติให้ใช้ยาต้านไวรัส “เรมเดซิเวียร์” รักษาผู้ป่วยโควิดวัยผู้ใหญ่ที่มีระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ ต้องให้ออกซิเจนหรือใช้ระบบช่วยหายใจขั้นวิกฤต
ทั้งนี้ ต้นเดือนพฤษภาคม อเมริกาอนุญาตให้ใช้ยานี้เป็นการฉุกเฉินเพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด ตามมาด้วยญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ขณะที่ยุโรปอยู่ระหว่างการพิจารณา
ที่อเมริกา พันโทบรูก เดวิส โฆษกกองกำลังป้องกันชาติในวอชิงตัน ดี.ซี. เปิดเผยเมื่อวันอังคาร ว่า ทหารจำนวนหนึ่งติดเชื้อโควิด-19 ระหว่างการเข้าควบคุมสถานการณ์การประท้วงในเมืองหลวง แต่ไม่สามารถระบุจำนวนที่แน่นอนได้เพื่อความปลอดภัยในการปฏิบัติภารกิจ
เดวิสระบุว่า มีทหาร 1,700 คนถูกส่งไปควบคุมสถานการณ์ในวอชิงตัน ดี.ซี. เมื่อวันที่ 1 เดือนนี้ ระหว่างการชุมนุมประท้วงหน้าทำเนียบขาวและที่อื่นๆ ซึ่งปะทุขึ้นสืบเนื่องจากการที่ตำรวจมินนิอาโปลิสฆาตกรรมจอร์จ ฟลอยด์ ชาวแอฟริกัน-อเมริกัน ด้วยการใช้เข่ากดทับลำคอจนขาดอากาศหายใจ
ทั้งนี้แม้ผู้ประท้วงจำนวนมากสวมหน้ากากระหว่างการชุมนุม แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายและทหารจากกองกำลังป้องกันชาติหลายคน
ขณะนี้ อเมริกามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ราว 2 ล้านคน และเสียชีวิตเกือบ 112,000 คน