รอยเตอร์ - ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในจีนประจำวันที่ 22 พ.ค. ลดลงเป็น “ศูนย์” ครั้งแรกนับตั้งแต่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เริ่มแพร่ระบาดที่เมืองอู่ฮั่น ขณะที่บราซิลมีผู้ป่วยสะสมแล้วกว่า 330,000 คน พุ่งแซงรัสเซียขึ้นสู่อันดับ 2 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา
คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) รายงานวันนี้ (23) ว่า จีนไม่พบผู้ติดเชื้อใหม่เลยในรอบ 24 ชั่วโมง ลดลงจากสถิติ 4 รายในวันก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ยังคงมี “เคสต้องสงสัย” อยู่อีก 2 ราย โดยเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศในนครเซี่ยงไฮ้ 1 ราย และผู้ที่อาจติดเชื้อภายในท้องถิ่นอีก 1 ราย ในมณฑลจี๋หลิน
ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในจีนลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือน มี.ค. อันเป็นผลมาจากมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายประชากรอย่างเข้มงวดเพื่อยับยั้งการแพร่ระจายของเชื้อไวรัส
อย่างไรก็ดี จีนยังคงตรวจพบผู้ป่วยนำเข้าอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มพลเมืองที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ และยังมีการแพร่เชื้อแบบกลุ่มเกิดขึ้นที่มณฑลจี๋หลิน และเฮย์หลงเจียงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
นครอู่ฮั่นซึ่งเป็นจุดกำเนิดของเชื้อโควิด-19 ก็กลับมาพบผู้ติดเชื้อแบบเป็นกลุ่มก้อนครั้งแรกในเดือนนี้ หลังจากที่เพิ่งคลายล็อกดาวน์ไปเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ทำให้ทางการต้องประกาศเตือนว่ามาตรการควบคุมโรคจะหย่อนยานไม่ได้ และเริ่มโครงการตรวจหาเชื้อประชากรอู่ฮั่นทั้ง 11 ล้านคน
ตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมในจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ที่ 82,971 ราย และมียอดผู้เสียชีวิตคงที่ 4,634 ราย
ทางด้าน “บราซิล” มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มถึง 1,001 รายในวันศุกร์ (22) ซึ่งทำให้ยอดสะสมพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 21,048 ศพ ตามรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข
เจ้าหน้าที่ในรัฐเซาเปาลูต้องเตรียมหลุมฝังศพไว้เป็นจำนวนมากที่สุสานฟอร์โมซา (Formosa Cemetary) เพื่อรองรับร่างผู้เสียชีวิตที่มีมาเรื่อยๆ
ประธานาธิบดี ฌาอีร์ โบลโซนารู ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่ยังยืนกรานปฏิเสธมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม โต้เถียงกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และยังสนับสนุนให้ใช้ยา “คลอโรควิน” ซึ่งเป็นยาต้านเชื้อมาลาเรียมารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้คะแนนนิยมของผู้นำบราซิลลดต่ำลงเรื่อยๆ
ทั้งนี้ คาดว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตที่แท้จริงในบราซิลอาจจะสูงกว่านี้มาก เนื่องจากการตรวจหาเชื้อยังคงเป็นไปอย่างล่าช้า
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18) บราซิลกลายเป็นชาติที่มีผู้ป่วยโควิดมากเป็นอันดับ 3 ของโลก และล่าสุดก็พุ่งแซงรัสเซียขึ้นสู่อันดับที่ 2 ของโลกแล้วเมื่อวานนี้ (22) แต่ก็ยังคงห่างไกลจากบัลลังก์แชมป์โลกของสหรัฐฯ ที่มีผู้ป่วยสะสมมากกว่า 1.5 ล้านคน
