เอเจนซี - เกาหลีเหนือสั่งปลดผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรอง และหัวหน้าฝ่ายอารักขาผู้นำคิม จองอึน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่ระดับสูงครั้งใหญ่ ในขณะที่กระแสข่าวลือเรื่องสุขภาพของผู้นำ คิม ยังเป็นปริศนาคาใจคนทั่วโลก
หนังสือพิมพ์โคเรียเฮรัลด์อ้างรายงานจากกระทรวงการรวมชาติเกาหลีใต้ซึ่งระบุว่า จาง คิลซอง (Jang Kil Song) ถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองกลาง (Reconnaissance General Bureau - RGB) ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองหลักของกองทัพโสมแดง
RGB เป็นองค์กรที่รับผิดชอบปฏิบัติการโจมตีระดับไฮ-โปรไฟล์ และภารกิจสอดแนมต่างๆ ของเกาหลีเหนือ รวมถึงงานต่อต้านสหรัฐอเมริกาด้วย รัฐบาลเกาหลีใต้เชื่อว่าหน่วยงานแห่งนี้อยู่เบื้องหลังเหตุยิงตอร์ปิโดถล่มเรือรบโชนัน (Cheonan) เมื่อปี 2010 ซึ่งส่งผลให้ลูกเรือเกาหลีใต้เสียชีวิตไป 46 นาย
สำนักข่าวยอนฮัปรายงานว่า บุคคลที่น่าจะเข้ามาแทนตำแหน่งของจาง คือ ริม กวางอิล (Rim Kwang Il) ซึ่งเป็นทหารชั้นนายพล
รายงานไม่ได้บอกถึงสาเหตุที่เกาหลีเหนือตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้นำหน่วย RGB
ยุน จองริน (Yun Jong Rin) ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมอารักขา คิม ตั้งแต่ปี 2010 ก็ถูกเปลี่ยนตัวด้วยเช่นกัน โดยคาดว่าบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยอารักขาสูงสุดคนใหม่คือ กว๊อก ชางซิก (Kwak Chang Sik) ซึ่งเป็นบุคลากรหน้าใหม่ในแวดวงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเกาหลีเหนือ
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้นในขณะที่ผู้นำคิม ยังคงหายหน้าไปจากสื่อจนเป็นที่ผิดสังเกต และทำให้เกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่าเขาอาจกำลังป่วยหนัก
หลังเก็บตัวเงียบเป็นเวลาถึง 3 สัปดาห์ และไม่ได้ร่วมพิธีฉลองวันเกิดปู่ของเขาเองเมื่อวันที่ 15 เม.ย. คิม จองอึน ได้ออกมาสยบข่าวลือทั้งปวงด้วยการเป็นประธานตัดริบบิ้นเปิดโรงงานปุ๋ยแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ทว่าภาพที่ออกมากลับทำให้คนยิ่งตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเป็น “คิมตัวปลอม”
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ (15) คิม จองอึน ยังไม่ได้ออกงานสาธารณะที่ไหนอีกเลย
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้เชื่อว่า การเปลี่ยนตัวเจ้าหน้าที่โสมแดงในช่วงนี้บ่งบอกว่า คิม ยังคงพยายามที่จะกระชับอำนาจด้วยการหาบุคลากรใหม่ๆ ที่มีฝีมือและไว้วางใจได้มาทำงานใกล้ชิด
“สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการผลัดเปลี่ยนเอาคนรุ่นใหม่มาทำงาน และ คิม จะเลือกแต่งตั้งคนโดยมองที่ผลงานเป็นหลัก” เจ้าหน้าที่โสมขาวคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับโคเรียเฮรัลด์ “และมันยังสะท้อนให้เห็นว่า คิม ยังคงกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในประเทศ”