รอยเตอร์/mgronline - รัฐบาลสหราชอาณาจักร ไม่แนะนำคนสุขภาพดีสวมหน้ากากอนามัย จากการเปิดเผยของรองหัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ในวันศุกร์ (3 เม.ย.) ระบุไม่พบหลักฐานว่ามันช่วยหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ได้
ศาสตราจารย์ โจนาธาน แวน-แทม กล่าวว่า ไม่พบหลักฐานการสวมหน้ากากอนามัยของคนสุขภาพดีจะช่วยหยุดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ แม้การสวมหน้ากากอนามัย ได้กลายเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางชาติไปแล้ว
“ไม่พบหลักฐานว่า การสวมหน้ากากอนามัยของประชาชนทั่วไป จะก่อผลดีต่อความพยายามควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดต่อนี้ในสังคมเรา” เขาแถลงที่ทำเนียบนายกรัฐมนตรี ถนนดาวนิ่ง “สิ่งสำคัญก็คือการเว้นระยะห่างทางสังคม”
“ในแง่ของหลักฐานทางวัตถุพยาน สิ่งที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรแนะนำ ก็คือ เราไม่แนะนำให้คนทั่วไปสวมหน้ากากอนามัย” เขากล่าว
คำแถลงดังกล่าวมีออกมาแม้ว่าในวันศุกร์ (3 เม.ย.) สหราชอาณาจักรมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 รายวันสูงสุดนับตั้งแต่มันแพร่ระบาดในดินแดนแห่งนี้ ที่ 684 คน ขณะเดียวกัน ก็พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มเติมอีก 4,450 คน ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
“จนถึง 09.00 น.ของวันที่ 3 เมษายน จากทั้งหมด 173,784 คน ที่เข้ารับการตรวจเชื้อ มีอยู่ 38,168 คน ที่มีผลตรวจออกมาเป็นบวก และจนถึง 17.00 น. ของวันที่ 2 เมษายน ในบรรดาผู้ที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ได้เสียชีวิตไปแล้ว 3,605 คน” กระทรวงสาธารณสุขแห่งสหราชอาณาจักร แถลง
ถ้อยแถลงของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ตอกย้ำถึงข้อถกเถียงระดับโลกต่อคำถามที่ว่าประชาชนทั่วไปควรต้องสวมหน้ากากอนามัยยามที่ไปข้างนอกหรือไม่ ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19
องค์การอนามัยโลกในวันจันทร์ (30 มี.ค.) เน้นย้ำคำแนะนำที่ว่าประชาชนทั่วไปควรสวมหน้ากากอนามัย ก็ต่อเมื่อมีอาการป่วย หรือต้องดูแลคนป่วย เพราะไม่มีหลักฐานบ่งว่าการสวมหน้ากากของประชากรหมู่มากนั้นให้ประโยชน์อย่างไร ตรงกันข้ามกลับพบหลักฐานบ่งชี้ถึงผลเสียหากใช้หน้ากากอนามัยผิดวิธี หรือใส่ไม่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขอื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ โต้แย้งว่า ประชาชนควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัส
ในส่วนของสหรัฐฯ หลังจากเห็นแย้งมานาน ล่าสุด ในวันพุธ (1 เม.ย.) เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐฯ กำลังปรึกษาหารือว่า สมควรออกคำแนะนำให้ประชาชนสวม ‘หน้ากากอนามัย’ เพื่อเป็นแนวทางหนึ่งในการสกัดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่หรือไม่ ทว่า ขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจ